Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV V8 เทอร์โบคู่: ปฏิวัติวงการซูเปอร์คาร์แห่งปี 2025
ในโลกแห่งยนตรกรรมสมรรถนะสูง ชื่อของ Ferrari มักถูกกล่าวถึงในฐานะผู้บุกเบิกและผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่ท้าทายขีดจำกัดอยู่เสมอ และในปี 2025 นี้ Ferrari ได้ตอกย้ำจุดยืนนั้นอีกครั้งด้วยการเปิดตัว 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV V8 เทอร์โบคู่ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการนำตำนาน Testarossa กลับมาโลดแล่นใหม่เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการประกาศศักราชใหม่ของซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานขุมพลังดิบของเครื่องยนต์ V8 เข้ากับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าขั้นสูงสุดได้อย่างไร้ที่ติ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์มายาวนานนับทศวรรษ ผมกล้ากล่าวได้ว่านี่คือผลงานชิ้นเอกที่ Ferrari สร้างขึ้นเพื่อ redefine นิยามของคำว่า “ซูเปอร์คาร์แห่งอนาคต”
ราคาและสถานะการณ์ในตลาดปี 2025: ยนตรกรรมสำหรับผู้ครอบครองตัวจริง
สำหรับผู้ที่กำลังเล็งที่จะเป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์ระดับตำนานที่มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยอย่าง Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) ราคาเริ่มต้นที่ 41.1 ล้านบาท อาจเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความพิเศษและสถานะของยนตรกรรมคันนี้ได้อย่างชัดเจน ในตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงปี 2025 ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและสมรรถนะ ราคาของ 849 Testarossa วางตำแหน่งตัวเองอยู่ในเซกเมนต์ของรถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับและความเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนในงานวิศวกรรม การออกแบบ และวัสดุระดับพรีเมียมทั้งหมดที่หลอมรวมกันเป็นม้าลำพองคันนี้ ผู้ที่ได้ครอบครอง Ferrari 849 Testarossa ไม่ได้เพียงแค่ซื้อรถยนต์ แต่เป็นการลงทุนในศิลปะแห่งความเร็วที่มาพร้อมศักยภาพในการเป็นของสะสมล้ำค่าในอนาคต
การปฏิวัติงานออกแบบ: สุนทรียภาพที่ขับเคลื่อนด้วยแอโรไดนามิก
ภายใต้การนำทัพของ Flavio Manzoni และทีมงาน Ferrari Styling Centre การออกแบบภายนอกของ 849 Testarossa Berlinetta ถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบจากรุ่น SF90 Stradale อย่างแท้จริง การผสมผสานระหว่างเส้นสายเชิงประติมากรรมอันสง่างามและองค์ประกอบเชิงเส้นที่เฉียบคม ได้สร้างสรรค์ภาษาการออกแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสตร์การบินและรถแข่ง Sports Prototypes ยุค 1970s ซึ่งเป็นยุคที่ Ferrari สร้างตำนานบนสนามแข่ง เส้นสายเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงความสวยงาม แต่ยังถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์สูงสุด นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของ “การออกแบบ Ferrari” ที่ผสานฟังก์ชันเข้ากับความงามได้อย่างลงตัว
สิ่งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งคือบริเวณด้านข้าง (Flank) ของตัวรถ ประตูรถที่ผ่านการขึ้นรูปแบบสามมิติจากอะลูมิเนียมอัลลอยชิ้นเดียวด้วยกระบวนการผลิตขั้นสูงที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถยนต์จากสายการผลิตมาตรฐาน แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทในด้านวิศวกรรม ตัวประตูไม่ได้เป็นเพียงช่องทางเข้าออก แต่ยังทำหน้าที่เป็น Aerodynamic Duct ขนาดใหญ่ ที่ช่วยนำพากระแสอากาศเข้าสู่ Intercooler และเสริมประสิทธิภาพการระบายความร้อน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ “ซูเปอร์คาร์ดีไซน์ล้ำ” ในยุคปัจจุบัน เส้นแนวตั้งสีดำ Contrasting Black Vertical Side Intake ไม่เพียงแต่ตอกย้ำเอกลักษณ์การออกแบบ Three-Dimensional Livery แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบจัดการอากาศที่ซับซ้อน
ด้านหน้าของ 849 Testarossa Berlinetta สะท้อนเอกลักษณ์ของ Ferrari ยุค 1980s ด้วยเส้น Fascia สีดำแนวนอนรูปสะพานที่เชื่อมต่อไฟหน้า ซึ่งเคยปรากฏใน Ferrari 12Cilindri และ F80 องค์ประกอบนี้สร้างสัดส่วนใหม่ระหว่างปริมาตรและช่องว่างบนผิวตัวถัง ก่อให้เกิด Full-Width Spoiler Effect ที่เพิ่มแรงกดด้านหน้า Flicks สีเดียวกับตัวถังและ Splitter สีดำบริเวณกันชนล่าง ไม่เพียงเติมเต็มพื้นที่ว่าง แต่ยังช่วยเสริมลักษณะทางเทคนิคและแอโรไดนามิกของรถให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เมื่อมองจากมุมสูง (Plan View) จะเห็นรูปทรงองค์ประกอบที่สะอาดตา Flicks ที่ยื่นออกมาจากกันชนหน้าและสปอยเลอร์สองส่วนด้านท้าย ผสานกันอย่างกลมกลืนกับ Rear Screen ที่ถูกผสานสายตาเข้ากับสปอยเลอร์ส่วนท้าย เน้นย้ำเอฟเฟกต์ “การไหลของอากาศ” ที่เหนือชั้น
นอกจากนี้ ล้อฟอร์จ (Forged Wheels) ยังได้รับการพัฒนาอย่างใกล้ชิดร่วมกับฝ่ายแอโรไดนามิกส์ ด้วยเส้นโปรไฟล์ที่โดดเด่นและ Diamond-Cut ที่ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศออกจากช่องล้อและควบคุมการไหลของกระแสอากาศด้านหลัง รูปทรงของล้อยังเปิดโอกาสให้ปรับแต่งได้ทั้งด้านสุนทรียภาพและฟังก์ชันการใช้งานอย่างกว้างขวาง นี่คือความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่ทำให้ 849 Testarossa กลายเป็น “สุดยอดซูเปอร์คาร์” ที่สมบูรณ์แบบทั้งในด้านภาพลักษณ์และสมรรถนะ
หัวใจแห่งขุมพลัง: V8 เทอร์โบคู่ ผสานระบบไฮบริด PHEV ขั้นสุด
Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) ไม่ได้เป็นเพียงรถที่มีรูปลักษณ์สวยงาม แต่ยังเป็นขุมพลังที่ไร้เทียมทาน หัวใจสำคัญของยนตรกรรมคันนี้คือ “เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่” ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นตระกูลเครื่องยนต์ที่เคยคว้ารางวัล International Engine of the Year มาแล้วหลายสมัย เครื่องยนต์วางกลางด้านหลังแบบ V8 ของม้าลำพองคันนี้ ได้รับการออกแบบมาเพื่อรีดสมรรถนะไปถึงขีดสุด ให้กำลังสูงสุดถึง 830 แรงม้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับ “ซูเปอร์คาร์ 2025” ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน
แต่สิ่งที่ทำให้ 849 Testarossa ก้าวล้ำไปอีกขั้นคือ “ระบบไฮบริด” สุดล้ำที่ต่อยอดจากประสบการณ์ในสนามแข่งของ Ferrari ด้วยการเป็น “PHEV” (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ระบบนี้ช่วยเพิ่มกำลังและประสิทธิภาพอย่างมหาศาล กำลังเฉพาะ 208 แรงม้า/ลิตร ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงชิ้นส่วนทั้งหมดอย่างพิถีพิถัน ผสานกับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Sports Prototype ยุค 1970s ตัวรถสามารถสร้างแรงกด (Downforce) ได้สูงถึง 415 กิโลกรัมที่ความเร็ว 250 กม./ชม. ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก SF90 Stradale ถึง 25 กิโลกรัม พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนให้กับระบบส่งกำลังและระบบเบรกมากถึง 15% บ่งบอกถึงการออกแบบที่เน้นสมรรถนะสูงสุดในทุกมิติ
ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดขับขี่ไฟฟ้าได้ถึง 4 โหมด ผ่าน eManettino อันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่
eDrive: สำหรับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน สามารถวิ่งได้สูงสุด 25 กิโลเมตร เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองที่ต้องการความเงียบและการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 7.45 kWh ที่ติดตั้งอยู่ในโครงสร้างตัวถัง เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำและสมดุลน้ำหนักที่เหมาะสมที่สุด
Hybrid: โหมดเริ่มต้นที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อประสิทธิภาพและความประหยัดสูงสุด
Performance: ปลดปล่อยกำลังส่วนใหญ่ของเครื่องยนต์ V8 พร้อมการเสริมด้วยพลังงานไฟฟ้าเพื่อสมรรถนะที่เร้าใจ
Qualify: โหมดสูงสุดที่ดึงศักยภาพทั้งหมดของเครื่องยนต์และระบบไฮบริดออกมา เพื่อการขับขี่ที่เร็วที่สุดบนสนามแข่ง นี่คือ “รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง” ในร่างของซูเปอร์คาร์ที่แท้จริง
ห้องโดยสารที่เน้นผู้ขับขี่: สุนทรียะแห่งเทคโนโลยีและหลักสรีรศาสตร์
ก้าวเข้าสู่ “ภายใน Ferrari” 849 Testarossa (Berlinetta) คุณจะพบกับการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการจัดวางแบบ Berlinetta ที่มีแดชบอร์ดแนวนอน กับค็อกพิทแบบ Single-Seater ที่มุ่งเน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง แดชบอร์ดด้านบนได้รับการออกแบบให้มี Floating Effect พร้อมช่องแอร์รูปตัว C ที่มีกรอบอะลูมิเนียมอันประณีต บ่งบอกถึงความใส่ใจในรายละเอียด ในขณะที่แถบแนวนอนตัดขัด (Contrasting Horizontal Band) บริเวณกลางแดชบอร์ด ได้รวบรวมฟังก์ชันควบคุมหลักและหน้าจอผู้โดยสารเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน ส่วนล่างของแดชบอร์ดนำเสนอ Architectural Sail Motifs ซึ่งรวมฟังก์ชันควบคุมต่างๆ โดยมี Gate ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก F80 ฝังอยู่ในตำแหน่งลอยตัวด้านฝั่งพวงมาลัย
การออกแบบ Central Tunnel ได้รับการปรับปรุงใหม่ เพื่อนำคำสั่งรอง (Secondary Commands) มาใช้ในลักษณะที่เป็นระเบียบและเรียบง่ายมากขึ้น ธีม Central Sail ถูกต่อยอดไปยัง Door Cards โดยมีตำแหน่งสำหรับ Woofer พร้อมตะแกรงอะลูมิเนียม และยังเป็นที่จัดวาง Door Pull ด้วย การออกแบบภายในมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่และปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomics) อย่างจริงจัง ความสะดวกในการเข้าถึงปรับปรุงขึ้นด้วยการลดความกว้างของส่วนล่างของแผงประตูและพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้มีพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับด้านหลังเบาะ (Rear Bench) และกล่องเก็บของฝั่งผู้โดยสาร (Passenger-Side Glove Box) ตอบโจทย์ “ห้องโดยสารซูเปอร์คาร์” ที่ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริง
เบาะนั่งมีให้เลือกสองแบบ คือ Comfort ที่หุ้มด้วยวัสดุคุณภาพสูง ปรับแต่งเชิงประติมากรรม และ Carbon-Fibre Racing Seat ที่มาพร้อม Side Bolsters แบบสปอร์ต เพื่อประคองลำตัวด้านข้างที่เหมาะสมทั้งสองรุ่นเกิดจากการศึกษาเชิงผสมระหว่างหลักสรีรศาสตร์และการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้สมรรถนะและความสะดวกสบายสูงสุดในการขับขี่ระยะไกลหรือในสนามแข่ง
ระบบอินเตอร์เฟซผู้ขับขี่ (HMI – Human-Machine Interface) บนพวงมาลัยของ 849 Testarossa ผสมผสานฟังก์ชันทั้งแบบดิจิทัลและอนาล็อกได้อย่างลงตัว ปุ่มควบคุมแบบกดที่ปรากฏใน F80 ถูกนำมาใช้ต่อ รวมถึงปุ่ม Engine Start อันเป็นเอกลักษณ์ ขณะที่ Digital Cluster ช่วยให้ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยน “โหมดการขับขี่ไฟฟ้า” ได้อย่างรวดเร็วผ่าน eManettino อินเตอร์เฟซผู้ใช้ถูกออกแบบให้รวมฟังก์ชันรอบตัวผู้ขับขี่ ทำให้ผู้ขับรู้สึกถูกโอบล้อมด้วยสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการขับขี่ (Enveloping Effect) ที่ครอบคลุมไปถึงแผงประตูและ Central Tunnel สร้างประสบการณ์การควบคุมที่สมบูรณ์แบบ
ในด้านการเชื่อมต่อ 849 Testarossa รองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto® พร้อมระบบชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟนที่ฝังอยู่ใน Central Tunnel นอกจากนี้ รถยนต์ยังติดตั้ง MyFerrari Connect System ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบสภาพรถจากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน นี่คือความล้ำสมัยที่ทำให้ Ferrari 849 Testarossa เป็น “เทคโนโลยีรถยนต์ Ferrari” ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เทคโนโลยีและความปลอดภัยขั้นสูงสุด: ก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งวิศวกรรม
Ferrari 849 Testarossa ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกถึงสมรรถนะและความเร็วเท่านั้น แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึง “นวัตกรรมยานยนต์” และเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงที่ Ferrari มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าและปลอดภัยที่สุด ระบบเหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองความต้องการของ “การขับขี่ขั้นสุด” ได้อย่างไม่มีข้อกังขา
หัวใจสำคัญของระบบควบคุมสมรรถนะคือ FIVE (Ferrari Integrated Vehicle Estimator) ซึ่งเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญที่สร้าง Digital Twin เพื่อจำลองพฤติกรรมของรถแบบเรียลไทม์ ระบบนี้สามารถประเมินคุณลักษณะด้านสมรรถนะที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรงได้อย่างแม่นยำ เช่น ความเร็ว (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 กม./ชม.) และมุมการหมุนรอบแกนตั้งหรือ Yaw Angle (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1°) ของรถ ค่าประมาณเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยัง “ระบบควบคุมสมรรถนะ” ทั้งหมดของตัวรถ ทำให้การตอบสนองมีความแม่นยำและเสถียรยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ABS Evo ใช้ค่าประมาณจาก FIVE เพื่อตรวจหาอัตราการลื่นไถลที่เหมาะสมของล้อทั้งสี่และปรับสมดุลการกระจายแรงเบรก ระบบนี้ทำงานในทุกตำแหน่งของ Manettino และในทุกสภาพการยึดเกาะ ส่งผลให้การเบรกที่ลึกขึ้น หนักขึ้น และสามารถทำซ้ำได้แม่นยำยิ่งกว่า SF90 Stradale พร้อมประสิทธิภาพของการควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่สูงกว่ารถในตระกูล Ferrari รุ่นใดๆ
“ระบบเบรก” ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด เพื่อตอบสนองต่อสมรรถนะที่สูงขึ้น มาพร้อมจานเบรกและผ้าเบรกขนาดใหญ่ขึ้นรอบคัน โดยที่จานเบรกคู่หน้ามีช่องระบายอากาศที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่คาลิเปอร์หลังรุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความร้อนและความแข็งแรงเชิงโครงสร้าง การทำงานร่วมกันของชิ้นส่วนเหล่านี้ช่วยรับประกันทั้งประสิทธิภาพด้านความร้อน ความแข็งแรง และสมรรถนะที่คงที่แม้ภายใต้การใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของ “ช่วงล่างรถสปอร์ต” Ferrari 849 Testarossa มาพร้อมการเซ็ตอัพช่วงล่างเฉพาะ (Dedicated Suspension Setup) และมุมคิเนแมติก (Kinematic Angles) ที่ถูกปรับแต่งเพื่อการควบคุมที่แม่นยำเมื่อถึงขีดสุดของการขับขี่ สมรรถนะด้านอัตราเร่งในแนวขวางเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับ SF90 Stradale จากการใช้ยางรุ่นใหม่และการปรับเซ็ตอัพเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักของคอยล์สปริง (Road Springs) ลงได้ถึง 35% ค่าการโคลงตัว (Roll Gradient) ลดลง 10% ส่งผลให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวถังดีขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์และ Dynamic Camber การทำงานของโช้กอัพ (Shock Absorber Damping) ได้รับการปรับแต่งทั้งจากการจำลองเสมือนและการทดสอบจริง เพื่อสะท้อนพฤติกรรมของรถทั้งในการขับบนถนนและในสนามแข่ง
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS: ความปลอดภัยอัจฉริยะสำหรับซูเปอร์คาร์
แม้จะเป็น “ซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูง” ที่เน้นการขับขี่แบบดิบๆ แต่ Ferrari ก็ไม่ละเลยเรื่อง “ความปลอดภัยซูเปอร์คาร์” โดย 849 Testarossa ได้รับการติดตั้ง “ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS” ที่ครบครัน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย โดยระบบเหล่านี้จะเข้ามาทำงานเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน และด้วยวิธีที่รบกวนการขับขี่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เฉพาะเมื่อผู้ขับต้องการจริง ๆ ระบบทั้งหมดสามารถปรับแต่งได้เต็มรูปแบบผ่านเมนูบน Instrument Cluster ฟีเจอร์หลักประกอบด้วย:
Adaptive Cruise Control พร้อม Stop & Go: ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่สามารถรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้อย่างปลอดภัย และสามารถหยุดและออกตัวใหม่เองในสภาวะการจราจรหนาแน่น
Automatic Emergency Braking: ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ช่วยชะลอหรือหยุดรถเมื่อมีความเสี่ยงการชน โดยสามารถตรวจจับนักปั่นจักรยานได้ด้วย เพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้ถนนร่วม
Blind Spot Detection: ระบบตรวจจับวัตถุในมุมอับสายตา แจ้งเตือนผู้ขับเมื่อมีรถอยู่ด้านข้างเพื่อป้องกันการเปลี่ยนเลนที่ไม่ปลอดภัย
Lane Departure Warning: ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว เพื่อช่วยให้ผู้ขับรักษาตำแหน่งรถให้อยู่ในเลน
Lane Keeping Assist: ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน โดยจะส่งแรงเล็กน้อยที่พวงมาลัยเพื่อช่วยควบคุมทิศทางอย่างนุ่มนวล
Automatic High Beam: ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ เพื่อมอบทัศนวิสัยที่ดีที่สุดในเวลากลางคืนโดยไม่รบกวนรถคันอื่น
Traffic Sign Recognition: ระบบจดจำป้ายจราจร เช่น จำกัดความเร็ว หรือป้ายห้ามแซง และแสดงผลบนหน้าปัดเพื่อให้ผู้ขับรับทราบ
Surround View: ระบบกล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และการจอดในพื้นที่แคบ
Rear Cross Traffic Alert: ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งตัดผ่านด้านหลังในขณะถอยรถ ลดความเสี่ยงจากการชนในมุมอับสายตา
Driver Fatigue Monitoring: ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับโดยวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ หากตรวจพบสัญญาณความอ่อนล้า ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับพักผ่อน
บทสรุปและบทเชิญชวน
Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV V8 เทอร์โบคู่ คือมากกว่า “รถสปอร์ตไฮบริด” ทั่วไป แต่เป็น “ยนตรกรรมระดับโลก” ที่กำหนดทิศทางใหม่ให้กับวงการซูเปอร์คาร์แห่งปี 2025 ด้วยการผสานตำนานเข้ากับเทคโนโลยีแห่งอนาคต การออกแบบที่ปฏิวัติวงการ ขุมพลังที่เร้าใจ และระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด นี่คือการเดินทางสู่มิติใหม่ของการขับขี่ที่ผสมผสานความหลงใหล ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ
หากคุณพร้อมที่จะสัมผัส “ประสบการณ์ Ferrari” ที่ไม่เหมือนใคร และเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของม้าลำพอง เราขอเชิญชวนให้ท่านได้สัมผัสความยิ่งใหญ่นี้ด้วยตัวท่านเอง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม การจัดแสดงพิเศษ หรือการนัดหมายเพื่อสัมผัสยนตรกรรมระดับตำนานคันนี้อย่างใกล้ชิด โอกาสที่จะได้ครอบครอง “ซูเปอร์คาร์แห่งอนาคต” ที่จะตราตรึงในความทรงจำกำลังรอคุณอยู่ อย่ารอช้าที่จะเริ่มต้นบทใหม่ของการขับขี่ไปกับ Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta)

