เฟอร์รารี่ 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV: บทนิยามใหม่แห่งซูเปอร์คาร์ V8 ไฮบริด
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีและหลงใหลในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูงมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่น่าทึ่งมากมาย แต่มีน้อยครั้งนักที่จะได้พบเห็นนวัตกรรมที่สามารถหลอมรวมตำนานเข้ากับอนาคตได้อย่างลงตัวเช่นเดียวกับ Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยใหม่ของซูเปอร์คาร์ ปี 2025 ที่มิใช่แค่เร็วและแรง แต่ยังฉลาดล้ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งม้าลำพองอย่างไม่เสื่อมคลาย นี่คือบทความที่ผมอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์และความประทับใจต่อสุดยอดรถยนต์คันนี้อย่างลึกซึ้ง
ราคาและการวางจำหน่าย: สัญลักษณ์แห่งความพิเศษ
สำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และอนาคตของ Ferrari, 849 Testarossa (Berlinetta) ได้ถูกวางราคาเริ่มต้นไว้ที่ 41.1 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงวิศวกรรมอันซับซ้อน งานฝีมือชั้นเลิศ และความเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ประเภทนี้อย่างชัดเจน ในโลกของซูเปอร์คาร์ไฮบริดประสิทธิภาพสูง การลงทุนใน Ferrari ไม่ใช่เพียงการซื้อรถยนต์ แต่เป็นการลงทุนในประสบการณ์ งานศิลปะ และการเป็นส่วนหนึ่งของมรดกอันยิ่งใหญ่ที่ไร้กาลเวลา
การออกแบบภายนอก: สุนทรียภาพที่ขับเคลื่อนด้วยอากาศพลศาสตร์
เมื่อแรกเห็น Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือการผสมผสานอันน่าทึ่งระหว่างความคลาสสิกของ Testarossa ในตำนาน กับเส้นสายที่เฉียบคมและล้ำยุคของยานยนต์แห่งอนาคต ภายใต้การนำของ Flavio Manzoni แห่ง Ferrari Styling Centre ได้พลิกโฉมการออกแบบจาก SF90 Stradale สู่ภาษาการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีการบิน รวมถึงรถแข่ง Sports Prototypes ยุค 1970s ที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ
จากประสบการณ์ในวงการ ผมสามารถบอกได้ว่าทุกเส้นสายบนตัวถังของ 849 Testarossa มิได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังคงเปี่ยมไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานเชิงอากาศพลศาสตร์ระดับสูงที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น แผงด้านข้าง (Flank) ที่โดดเด่นด้วยประตูที่ขึ้นรูปแบบสามมิติ ลึกเข้าไปในตัวถังอย่างวิจิตรบรรจง แผงประตูเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เป็นช่องทางเข้าออก แต่ยังถูกออกแบบมาเป็นช่องนำอากาศพลวัต (Aerodynamic Duct) อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับรถโปรดักชั่นใดๆ ของ Ferrari มาก่อน การขึ้นรูปอลูมิเนียมอัลลอยด์ชิ้นเดียวด้วยกระบวนการผลิตขั้นสูงนี้ แสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดที่ก้าวข้ามของวิศวกรรมการผลิต
ช่องดักอากาศแนวตั้งสีดำ (Contrasting Black Vertical Side Intake) ไม่เพียงแต่เป็นจุดเด่นทางสายตา แต่ยังทำหน้าที่นำอากาศเข้าสู่ Intercooler ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่องดักอากาศเพิ่มเติมที่เสริมเอกลักษณ์ของการออกแบบ “Three-Dimensional Livery” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากด้านหน้า เส้นสายและมิติของตัวรถสะท้อนถึงยุค 1980s ของ Ferrari ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะ Fascia สีดำแนวนอนรูปสะพาน (Bridge-Like Horizontal Fascia) ที่เชื่อมต่อไฟหน้า ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการนำธีมการออกแบบที่เคยปรากฏใน Ferrari 12Cilindri และ F80 มาปรับใช้ได้อย่างชาญฉลาด สร้างมิติใหม่ระหว่างปริมาตรและช่องว่าง ทำให้เกิดเอฟเฟกต์ Full-Width Spoiler ที่กว้างเต็มด้าน พร้อม Flicks สีเดียวกับตัวถังและ Splitter สีดำที่เติมเต็มพื้นที่ด้านล่างของกันชน เสริมลักษณะทางเทคนิคและแอโรไดนามิกของรถ
เมื่อมองจากมุมบน ผมประทับใจในความสะอาดตาขององค์ประกอบต่างๆ ที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระบบ Flicks ที่ยื่นออกมาจากกันชนหน้าและสปอยเลอร์ท้ายแบบคู่ (Double Tail Design) ได้รับแรงบันดาลใจจาก Ferrari 512 S ช่วยกำหนดเส้นรอบตัวรถได้อย่างกลมกลืน นอกจากนี้ ล้อฟอร์จ (Forged Wheels) ที่ได้รับการพัฒนาร่วมกับฝ่ายอากาศพลศาสตร์ ยังมีโปรไฟล์ที่โดดเด่นและการตกแต่งแบบ Diamond-Cut ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศจากซุ้มล้อและควบคุมการไหลของกระแสอากาศด้านหลังได้อย่างยอดเยี่ยม
การออกแบบภายใน: ห้องนักบินที่เน้นผู้ขับขี่และฟังก์ชันการใช้งาน
ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยสารของ 849 Testarossa คุณจะสัมผัสได้ถึงการหลอมรวมปรัชญาการออกแบบของ Berlinetta เข้ากับความรู้สึกของห้องนักบินแบบ Single-Seater ได้อย่างแนบเนียน แดชบอร์ดแนวนอนที่ดู “ลอยตัว” พร้อมช่องแอร์รูปตัว C ที่มีกรอบอะลูมิเนียม แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดในแบบที่ Ferrari มักทำได้ดีเสมอมา ในส่วนกลางของแดชบอร์ดมีแถบแนวนอนที่ตัดขัดอย่างมีสไตล์ ซึ่งรวมฟังก์ชันควบคุมหลักและหน้าจอสำหรับผู้โดยสารไว้ได้อย่างลงตัว
สิ่งที่ผมประทับใจเป็นพิเศษคือการปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomics) และการเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่ การลดความกว้างของส่วนล่างแผงประตูและพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้มีพื้นที่ว่างด้านหลังเบาะและกล่องเก็บของฝั่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในรถยนต์สมรรถนะสูงที่มักจะเน้นความกระชับเป็นหลัก การออกแบบภายในมุ่งเน้นที่การสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดื่มด่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเตอร์เฟซผู้ขับขี่ (HMI) ที่พวงมาลัย ซึ่งรวมเอาฟังก์ชันทั้งดิจิทัลและอนาล็อกไว้ด้วยกัน ปุ่มควบคุมแบบกดที่เคยเห็นใน F80 รวมถึงปุ่ม Engine Start อันเป็นเอกลักษณ์ ยังคงถูกนำมาใช้ พร้อม Digital Cluster ที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ไฟฟ้า (Electric Driving Modes) ได้อย่างรวดเร็วผ่าน eManettino
เบาะนั่งมีให้เลือกสองแบบ คือ Comfort ที่ปรับแต่งเชิงประติมากรรมเพื่อความสบายสูงสุด และ Carbon-Fibre Racing Seat พร้อม Side Bolsters แบบสปอร์ตที่โอบอุ้มลำตัวได้อย่างยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดึงสมรรถนะสูงสุดออกมา ผมมองว่าไม่ว่าคุณจะเลือกแบบใด คุณจะได้รับประสบการณ์การนั่งที่ผสมผสานความสะดวกสบายและสมรรถนะไว้ได้อย่างลงตัว
ด้านการเชื่อมต่อ 849 Testarossa ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการรองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto® พร้อมระบบชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟนที่ฝังอยู่ใน Central Tunnel นอกจากนี้ ระบบ MyFerrari Connect System ยังช่วยให้เจ้าของสามารถตรวจสอบสภาพรถจากระยะไกลได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในโลกยุค 2025 ที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน
ขุมพลัง: V8 เทอร์โบคู่ PHEV แห่งยุค 2025
หัวใจของ Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) คือเครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ วางกลางด้านหลัง ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับที่เคยคว้ารางวัล International Engine of the Year มาแล้วหลายสมัย และในรุ่นนี้ เครื่องยนต์ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อปลดปล่อยสมรรถนะถึงขีดสุด สร้างพละกำลังสูงสุดถึง 830 แรงม้า ด้วยอัตรากำลังเฉพาะถึง 208 แรงม้า/ลิตร ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญ ด้วยการปรับปรุงชิ้นส่วนทั้งหมด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญอย่างผมทราบดีว่าการเพิ่มกำลังได้ถึง 50 แรงม้า จากพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สิ่งที่ทำให้ 849 Testarossa แตกต่างและล้ำหน้า คือระบบไฮบริดสุดล้ำที่ต่อยอดจากประสบการณ์ในสนามแข่งของ Ferrari เอง การวางเครื่องยนต์ V8 แบบวางกลางด้านหลัง ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Sports Prototype ยุค 1970s ไม่เพียงแต่สร้างสมดุลที่ดีเยี่ยม แต่ยังส่งผลให้เกิดแรงกด (Downforce) สูงถึง 415 กิโลกรัมที่ความเร็ว 250 กม./ชม. ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก SF90 Stradale ถึง 25 กิโลกรัม และยังเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนให้กับระบบส่งกำลังและระบบเบรกได้มากขึ้นถึง 15%
ระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) นี้มาพร้อมโหมดขับขี่ไฟฟ้า 4 โหมด ที่สามารถเลือกได้ผ่าน eManettino อันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ eDrive, Hybrid, Performance และ Qualify ในโหมด eDrive รถสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 25 กิโลเมตร เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองอย่างเงียบเชียบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 7.45 kWh ถูกติดตั้งอยู่ในโครงสร้างตัวถังอย่างชาญฉลาด เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำที่สุดและสมดุลน้ำหนักที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ 849 Testarossa ไม่เพียงแค่เป็นสุดยอดซูเปอร์คาร์ V8 เทอร์โบคู่ แต่ยังเป็นซูเปอร์คาร์ไฮบริดที่สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความประหยัดไปจนถึงสมรรถนะระดับสนามแข่งได้อย่างไม่มีที่ติ
สีสันแห่งอัตลักษณ์: Rosso Fiammante และ Giallo Ambra
Ferrari ไม่เคยละเลยเรื่องความงดงามและเอกลักษณ์ และ 849 Testarossa ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ด้วยตัวเลือกการปรับแต่งที่หลากหลาย หนึ่งในไฮไลท์คือการเปิดตัวสีใหม่สองเฉดที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้ ได้แก่
Rosso Fiammante: เป็นการต่อยอดจาก Rosso Corsa สีแดงอันเป็นอัตลักษณ์ของม้าลำพอง แต่เพิ่มเอฟเฟกต์เมทัลลิกด้วยกระบวนการพิเศษ ทำให้แสงสะท้อนอบอุ่นและสว่างไสวเป็นประกายเมื่ออยู่กลางแดด เป็นสีที่ผมเชื่อว่าจะดึงดูดสายตาและทำให้รถดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
Giallo Ambra: สีเหลืองเข้มที่อบอุ่น ผสมผสานโทนแดง ได้แรงบันดาลใจจากความลึกและความหลากหลายของสีธรรมชาติของอำพัน (Amber) เป็นสีที่แสดงออกถึงความหรูหราและความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร
นอกจากนี้ ภายในยังมีการแนะนำ Alcantara Trim สี Giallo Siena ใหม่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เข้ากับสี Giallo Ambra ภายนอกโดยเฉพาะ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดแบบองค์รวมของ Ferrari
เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย: ความอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังความเร้าใจ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่า Ferrari 849 Testarossa ไม่ได้โดดเด่นเพียงแค่เรื่องสมรรถนะ แต่ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ก้าวล้ำเพื่อรองรับพลังมหาศาล และในตลาดรถยนต์ 2025 นี้ เทคโนโลยีเหล่านี้คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเหนือชั้นอย่างแท้จริง
ระบบ FIVE (Ferrari Integrated Vehicle Estimator): ดิจิทัลทวินแห่งสมรรถนะ
นี่คือการพัฒนาครั้งสำคัญที่ผมมองว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้นของ Ferrari ระบบ FIVE เป็นระบบประมาณค่าที่สามารถสร้าง Digital Twin เพื่อจำลองพฤติกรรมของรถแบบเรียลไทม์ โดยอ้างอิงจากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริงจากเซ็นเซอร์ต่างๆ (อัตราเร่ง, เซ็นเซอร์ 6D) FIVE สามารถประเมินคุณลักษณะด้านสมรรถนะที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรงได้อย่างแม่นยำ เช่น ความเร็ว (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 กม./ชม.) และมุมการหมุนรอบแกนตั้งหรือ Yaw Angle (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1°) ของรถ ค่าประมาณเหล่านี้ถูกส่งต่อไปยังระบบควบคุมสมรรถนะทั้งหมดของตัวรถ ทำให้การตอบสนองมีความแม่นยำและเสถียรยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ระบบ ABS Evo ใช้ค่าประมาณจาก FIVE เพื่อตรวจหาอัตราการลื่นไถลที่เหมาะสมของล้อทั้งสี่และปรับสมดุลการกระจายแรงเบรก ระบบนี้ทำงานได้อย่างราบรื่นในทุกตำแหน่งของ Manettino และในทุกสภาพการยึดเกาะ การประเมินความเร็วที่แม่นยำขึ้นทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากแรงตามแนวยาวของยางได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในการเบรกตรงๆ และการเบรกร่วมกับการเข้าโค้ง (Brake Then Turn-In) ผลลัพธ์ที่ได้คือการเบรกที่ลึกขึ้น หนักขึ้น และสามารถทำซ้ำได้แม่นยำยิ่งกว่า SF90 Stradale พร้อมประสิทธิภาพของการควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่สูงกว่ารถในตระกูล Ferrari รุ่นใดๆ
ระบบเบรก (Braking System): หยุดยั้งพละกำลังมหาศาล
เพื่อให้สอดรับกับสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น ระบบเบรกได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด มาพร้อมจานเบรกและผ้าเบรกขนาดใหญ่ขึ้นรอบคัน โดยเฉพาะจานเบรกคู่หน้าที่มีช่องระบายอากาศที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่คาลิเปอร์หลังรุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความร้อนและความแข็งแรงเชิงโครงสร้าง ผมบอกได้เลยว่าการทำงานร่วมกันของชิ้นส่วนเหล่านี้ช่วยรับประกันทั้งประสิทธิภาพด้านความร้อน ความแข็งแรง และสมรรถนะที่คงที่แม้ภายใต้การใช้งานอย่างต่อเนื่องบนสนามแข่ง
ช่วงล่างและการควบคุม (Suspension & Handling): ความแม่นยำระดับปรมาจารย์
Ferrari 849 Testarossa มาพร้อมการเซ็ตอัพช่วงล่างเฉพาะ (Dedicated Suspension Setup) และมุมคิเนแมติก (Kinematic Angles) ที่ถูกปรับแต่งเพื่อการควบคุมที่แม่นยำเมื่อถึงขีดสุดของการขับขี่ จากข้อมูลและประสบการณ์ของผม สมรรถนะด้านอัตราเร่งในแนวขวางเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับ SF90 Stradale ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ยางรุ่นใหม่และการปรับเซ็ตอัพเฉพาะ นอกจากนี้ยังช่วยลดน้ำหนักของคอยล์สปริง (Road Springs) ลงได้ถึง 35% และค่าการโคลงตัว (Roll Gradient) ลดลง 10% ส่งผลให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวถังดีขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์และ Dynamic Camber การทำงานของโช้กอัพ (Shock Absorber Damping) ได้รับการปรับแต่งอย่างพิถีพิถันทั้งจากการจำลองเสมือนและการทดสอบจริง เพื่อสะท้อนพฤติกรรมของรถทั้งในการขับบนถนนและการขับในสนามแข่ง
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (ADAS): ความปลอดภัยที่ซ่อนเร้น
Ferrari เข้าใจดีว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ แม้ในรถยนต์สมรรถนะสูง ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (ADAS) ใน 849 Testarossa ถูกบูรณาการเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย โดยจะเข้ามาทำงานเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน และด้วยวิธีที่รบกวนการขับขี่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คุณสมบัติเหล่านี้สามารถปรับแต่งได้เต็มรูปแบบผ่านเมนูบน Instrument Cluster ซึ่งรวมถึง:
Adaptive Cruise Control พร้อม Stop & Go: ควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างปลอดภัย รวมถึงหยุดและออกตัวใหม่เองในสภาพการจราจรหนาแน่น
Automatic Emergency Braking: ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ช่วยชะลอหรือหยุดรถเมื่อมีความเสี่ยงการชน โดยสามารถตรวจจับนักปั่นจักรยานได้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนร่วม
Blind Spot Detection: ตรวจจับวัตถุในมุมอับสายตา เพื่อป้องกันการเปลี่ยนเลนที่ไม่ปลอดภัย
Lane Departure Warning และ Lane Keeping Assist: ระบบเตือนและช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน
Automatic High Beam: ปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติเพื่อทัศนวิสัยที่ดีที่สุดในเวลากลางคืนโดยไม่รบกวนรถคันอื่น
Traffic Sign Recognition: จดจำป้ายจราจรและแสดงผลบนหน้าปัด
Surround View: ระบบกล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และจอด
Rear Cross Traffic Alert: แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งตัดผ่านด้านหลังขณะถอยรถ
Driver Fatigue Monitoring: ตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับ เพื่อแจ้งเตือนให้พักผ่อนเมื่อจำเป็น
บทสรุป: มรดกที่ก้าวไปข้างหน้า
ตลอดระยะเวลาที่ผมได้ศึกษาและสัมผัสกับนวัตกรรมยานยนต์มาอย่างยาวนาน ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV คือสุดยอดซูเปอร์คาร์ที่ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด มันไม่ใช่แค่การนำชื่อ Testarossa ในตำนานกลับมาใช้ แต่เป็นการสร้างสรรค์บทนิยามใหม่ของรถยนต์สมรรถนะสูงแห่งยุค 2025 อย่างแท้จริง ด้วยขุมพลัง V8 เทอร์โบคู่ไฮบริดที่เร้าใจ การออกแบบที่ผสมผสานความคลาสสิกและความล้ำยุคได้อย่างลงตัว เทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์อันชาญฉลาด ห้องโดยสารที่เน้นผู้ขับขี่ และระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น 849 Testarossa ได้พิสูจน์แล้วว่า Ferrari ยังคงเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง
หากคุณพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตำนานบทใหม่ หรือต้องการสัมผัสประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือระดับด้วยตัวคุณเอง อย่ารอช้าที่จะติดต่อผู้แทนจำหน่าย Ferrari อย่างเป็นทางการ เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายการทดลองขับ มาร่วมเป็นประจักษ์พยานแห่งวิศวกรรมยานยนต์และศิลปะการออกแบบที่ไร้ขีดจำกัดไปกับ Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) ในวันนี้

