Ferrari F80: เมื่อตำนานผนึกนวัตกรรม ลิมิตเต็ดอิดิชั่นแห่งอนาคตบนท้องถนน
ในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูง ไม่มีแบรนด์ใดจะสะกดจิตและสร้างแรงบันดาลใจได้เทียบเท่า Ferrari และในปี 2025 นี้ Ferrari F80 ได้ก้าวเข้ามาตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำด้านวิศวกรรม ดีไซน์ และสมรรถนะอย่างไร้ที่ติ ไม่ใช่แค่การเป็นซูเปอร์คาร์คันใหม่ แต่ F80 คือบทสรุปของมรดกอันยาวนาน ผนวกกับวิสัยทัศน์ที่ก้าวล้ำสู่อนาคต มันคือรถที่รวบรวมแก่นแท้ของความเป็น “ม้าลำพอง” ไว้ในทุกรายละเอียด ตั้งแต่เสียงคำรามของเครื่องยนต์ V6-Hybrid ไปจนถึงเส้นสายการออกแบบที่เปรียบได้ดั่งงานศิลปะ ซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่มันคือประสบการณ์อันเหนือระดับ การประกาศศักดาครั้งใหม่ที่กำหนดนิยามของ “โรดคาร์” ให้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เบบี๋ F80: ทายาทผู้สืบทอดมรดกแห่งความเร็ว
Ferrari F80 ถูกจัดวางตำแหน่งให้เป็นหนึ่งในตำนานร่วมกับรถรุ่นพี่ผู้โด่งดังมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Ferrari อาทิ 288 GTO ในปี 1984, F40 ที่ไร้กาลเวลา, Enzo Ferrari แห่งยุคมิลเลนเนียม ไปจนถึง LaFerrari Aperta ในปี 2016 การนำเทคโนโลยีขั้นสูงจากสนามแข่ง Formula 1 และ World Endurance Championship (WEC) มารวมไว้ในรถยนต์ที่ใช้งานบนท้องถนนได้จริง ทำให้ F80 สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านนวัตกรรมและความเป็นเลิศทางวิศวกรรม นับเป็นการฉีกกรอบนิยามของ “ซูเปอร์คาร์” ด้วยขีดจำกัดที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งที่ทำให้ Ferrari F80 โดดเด่นเป็นพิเศษคือการผลิตจำนวนจำกัดเพียง 799 คันทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความพิเศษและสถานะของมันในฐานะยานยนต์สะสม การจัดสรรโควตาเพียง 4 คันสำหรับประเทศไทย และทั้งหมดถูกจับจองหมดแล้วอย่างรวดเร็ว เป็นเครื่องยืนยันถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของนักสะสมและผู้หลงใหลในยนตรกรรมระดับโลกที่ต้องการเป็นเจ้าของผลงานชิ้นเอกนี้ F80 ไม่ได้เป็นเพียงรถที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Road Car ที่ผลิตจากโรงงาน Ferrari เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ที่ไม่มีใครเทียบได้
ร่องรอยระดับตำนาน: จากสนามแข่งสู่ท้องถนน
นับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา Ferrari ได้ทยอยเปิดตัวซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีและได้รับการยกย่องจากผู้คนทั่วโลก จนกลายเป็นตำนานที่มีเรื่องราวมากมายในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ สำหรับ F80 ซูเปอร์คาร์คันล่าสุดในตระกูลนี้ได้อัดแน่นไปด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชั่นล่าสุด เพื่อรีดเค้นสมรรถนะสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นแรงม้า แรงบิด หรือแม้กระทั่งโครงสร้างแชสซีส์คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา แอโรไดนามิกที่ซับซ้อน และช่วงล่างแบบแอคทีฟที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Road Car ทั้งหมดนี้ถูกผสานเข้ากับความสะดวกสบายที่เหนือความคาดหมายเมื่อขับขี่ในชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันคือความสมดุลที่ยากจะหาได้ระหว่างสมรรถนะระดับรถแข่งและความสามารถในการใช้งานจริง
แรงบันดาลใจและแหล่งพลังงานที่ถูกสานต่อมายัง Ferrari F80 นั้นหยั่งรากลึกมาจากซูเปอร์คาร์รุ่นก่อนหน้าหลายรุ่น อาทิ GTO และ F40 ที่ในอดีตใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบ เนื่องจากในช่วงยุค 1980 รถแข่งฟอร์มูลาวันเองก็ใช้ขุมพลังประเภทนี้ในการแข่งขัน ทว่าในปัจจุบัน โลกของมอเตอร์สปอร์ตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งรถแข่งฟอร์มูลาวันและรถแข่ง World Endurance Championship (WEC) ต่างก็หันมาใช้เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดแบบ 800 โวลต์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ใช้อยู่ในรถแข่งรุ่น 499P ที่คว้าชัยชนะในรายการ 24 Hours of Le Mans ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน นวัตกรรมจากสนามแข่งระดับโลกนี้เองที่ถูกถ่ายทอดลงมาสู่ F80 ซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดของ Ferrari ทำให้มันเป็นตัวแทนที่แท้จริงของความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีและจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน
การออกแบบภายนอก: เส้นสายแห่งอนาคตที่เคารพตำนาน
การสร้างสรรค์ Ferrari F80 คือผลงานอันยอดเยี่ยมของทีม Ferrari Styling Centre ภายใต้การนำทัพของ Flavio Manzoni ซึ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างความเชื่อมโยงที่ลงตัวระหว่างดีไซน์ในอดีตและอนาคตของ Ferrari โดยยังคงผสานเอกลักษณ์และ DNA ของแบรนด์ไว้อย่างเหนียวแน่น หัวใจสำคัญของการออกแบบนี้คือการมุ่งเน้นไปที่สุนทรียศาสตร์ของรถแข่งฟอร์มูลาวันของ Ferrari เป็นอันดับแรก แม้ F80 จะเป็นรถยนต์แบบ 2 ที่นั่ง แต่ก็สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถที่นั่งเดี่ยวได้อย่างเต็มพิกัด นอกจากนี้ยังคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้สรีระ ส่วนโค้งเว้า และทุกองค์ประกอบของรถถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะให้ไร้ที่ติ
ไฟหน้าของ F80 ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนภายใต้แผ่นบังสีดำยาวเพรียว ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งช่องดักอากาศเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิกและเป็นไฟส่องสว่างไปพร้อมๆ กัน ส่งให้ F80 มีรูปโฉมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและดูดุดัน ด้านท้ายของรถที่สั้นกะทัดรัด ให้มุมมองที่แตกต่างกันสองรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งาน ด้วยปีกหลังแบบแอคทีฟที่สามารถเก็บซ่อนและยกตัวขึ้นได้ตามความเร็วและโหมดการขับขี่ ไฟท้ายติดตั้งอยู่ในโครงสร้างแบบสองชั้นซึ่งประกอบไปด้วยแผงไฟท้ายหลักและสปอยเลอร์ขนาดเล็กที่ซ้อนทับกัน สร้างเอฟเฟกต์แบบประกบที่ส่งให้มุมมองด้านท้ายดูโฉบเฉี่ยวสุดขั้ว ไม่ว่าปีกหลังจะอยู่ในตำแหน่งเก็บหรือยกตัวขึ้น เมื่อสปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้น มันจะช่วยเพิ่มแรงกดท้ายและทำให้รถดูมีพลังและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
ความแตกต่างของสมดุลทางสายตาระหว่างโครงสร้างทั้งสองเผยให้เห็นอีกด้านหนึ่งของตัวรถ นั่นคือการผสมผสานฟังก์ชันการทำงานเข้ากับการออกแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ คุณสมบัติของฟังก์ชันเหล่านี้มีบทบาทสำคัญมากในการกำหนดลักษณะรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ช่องแบบ NACA ที่ส่งกระแสลมไปยังช่องรับอากาศของเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้าง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งโดดเด่นและใช้งานได้จริง ทั้งยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่ที่สุดของด้านข้างอีกด้วย อีกองค์ประกอบที่มีอัตลักษณ์สำคัญอย่างมากคือครีบระบายอากาศที่ส่วนหลังของห้องเครื่องยนต์ ซึ่งมีช่องทั้งหมด 6 ช่อง สำหรับแต่ละกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่น่าทึ่งระหว่างเส้นสายของรูปทรงเรขาคณิตและความประณีตของพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถังรถ การออกแบบทุกตารางนิ้วของ F80 จึงมิได้มีเพียงความสวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดทางวิศวกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยหลักอากาศพลศาสตร์
ภายในห้องโดยสาร: ค็อกพิตนักแข่งที่หรูหรา
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ Ferrari F80 คุณจะสัมผัสได้ถึงปรัชญาการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งแบบที่นั่งเดี่ยวอย่างชัดเจน สัดส่วนของค็อกพิตถูกจัดวางให้โอบล้อมเข้าหาแผงควบคุมและมาตรวัด โดยจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ทุกอย่างในแนวเดียวกับผู้ขับ เพื่อให้การเข้าถึงและการใช้งานเป็นไปตามหลักสรีรศาสตร์อย่างสมบูรณ์แบบ มันให้ภาพลักษณ์ที่ดูคล้ายกับรถแข่ง Formula 1 ที่มีหลังคาปิด มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เน้นคนขับเป็นศูนย์กลาง
หนึ่งในความน่าสนใจของ F80 คือตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารทั้ง 2 คน ที่ถูกปรับให้เยื้องกันในแนวยาว ทำให้สามารถปรับเบาะผู้โดยสารให้ถอยหลังได้มากกว่าเบาะผู้ขับ ส่งผลให้ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่กะทัดรัดแต่ยังคงความสบาย ไม่กระทบต่อหลักสรีรศาสตร์และสัมผัสแห่งความสะดวกสบาย วิธีนี้ยังช่วยให้นักออกแบบสามารถจัดสรรพื้นที่ห้องโดยสารให้เหมาะสมและลดหน้าตัดด้านหน้าของรถลง ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องของแอโรไดนามิกโดยรวมอีกด้วย
นอกจากนี้ F80 ยังมาพร้อมกับพวงมาลัยแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ และมีแนวโน้มว่าจะถูกนำไปใช้ใน Road Car รุ่นอื่นๆ ของ Ferrari ในอนาคต วงพวงมาลัยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย มีส่วนบนและล่างที่ตัดตรง ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มองเห็นมาตรวัดและทัศนวิสัยด้านหน้าได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่ยังเน้นความรู้สึกสปอร์ตเมื่อขับขี่อีกด้วย ด้านข้างของพวงมาลัยได้รับการปรับให้จับได้แน่นขึ้น ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่น่าสังเกตคือการนำปุ่มควบคุมแบบกายภาพบนก้านพวงมาลัยด้านขวาและซ้ายกลับมาใช้อีกครั้ง แทนที่เลย์เอาต์แบบดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมดที่ Ferrari ใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การกลับมาของปุ่มกดแบบดั้งเดิมนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจของ Ferrari ที่ว่าปุ่มกดแบบสัมผัสใช้งานง่ายกว่าและสามารถระบุฟังก์ชันได้ทันทีด้วยการสัมผัสโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง เน้นย้ำถึงปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับคนขับและประสบการณ์การควบคุมรถอย่างแท้จริง
ขุมพลัง V6-Hybrid 3.0 ลิตร: หัวใจที่เต้นด้วยเลือดนักแข่ง
นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Ferrari F80 ก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งสมรรถนะ มันมาพร้อมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน V6 ขนาดความจุ 3.0 ลิตร รหัส F163CF ซึ่งผลิตพละกำลังมหาศาลถึง 900 แรงม้า ด้วยอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Ferrari (300 แรงม้า/ลิตร) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งในโลกของยานยนต์ เครื่องยนต์นี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาลอยๆ แต่มีการถอดแบบโครงสร้างและหลากหลายองค์ประกอบมาจากรถแข่งรุ่น 499P ที่คว้าชัยชนะระดับโลก อาทิ เสื้อสูบ, เลย์เอาท์, ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทมิ่ง, วงจรทางเดินน้ำมันเครื่องไหลกลับเข้าปั๊ม, ประกับข้อเหวี่ยง, หัวฉีด, และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น นอกจากนี้ยังยกระดับระบบวาล์วแปรผันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ได้มาซึ่งการตอบสนองที่ฉับไวและพละกำลังที่ต่อเนื่องในทุกรอบเครื่องยนต์
F80 ยังเป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ซึ่งมีระบบควบคุมการชิงจุดระเบิด (Knock Control) แบบใหม่ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด ซึ่งหมายความว่ามันสามารถใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน (เพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB) นวัตกรรมนี้เป็นกุญแจสำคัญในการปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ได้อย่างสูงสุด และเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิง
Ferrari F80 ได้นำเอาเทคโนโลยีไฮบริดจากฟอร์มูลาวันมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในส่วนของระบบ MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic) ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งใช้อยู่ในรถแข่งฟอร์มูลาวันของ Ferrari และระบบ MGU-H (Motor Generator Unit – Heat) ซึ่งสร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์อันเกิดจากพลังงานความร้อนของก๊าซไอเสีย ร่วมด้วยชุดเทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo) ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามากำหนดจังหวะการทำงานของ e-turbo ช่วยปรับอากาศเข้าได้อย่างเหมาะสมที่สุด ทำให้ไม่มีอาการ Turbo Lag ที่รอบต่ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์เทอร์โบทั่วไป เพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้นในทุกช่วงรอบเครื่องยนต์
เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มเสถียรภาพและการควบคุม เครื่องยนต์จึงถูกติดตั้งให้ใกล้กับใต้ท้องรถที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ชุดเกียร์ถูกยกขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุดแอโรไดนามิกใต้ท้องรถ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งสปริง 2 ชุด ซึ่งช่วยลดความแข็งของระบบโดยรวมและช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมาจากระบบส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แดมเปอร์กันสะบัดถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเครื่องยนต์นี้ เพื่อลดความสั่นสะเทือนจากการบิดตัวของระบบขับเคลื่อนและโหลดที่สูงขึ้นจากพละกำลังที่มากกว่าเดิม
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงาน Ferrari ในมาราเนลโลทั้งหมด เป้าหมายคือการเพิ่มสมรรถนะสูงสุดและลดน้ำหนักลง การออกแบบของมอเตอร์ทั้งหมด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลังของรถ) ถูกร่างขึ้นจากประสบการณ์ตรงของ Ferrari ในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสเตเตอร์และโรเตอร์ในแม่เหล็ก Halbach (ซึ่งใช้รูปแบบที่เฉพาะเจาะจงในการจัดวางแม่เหล็กให้สร้างสนามแม่เหล็กได้แรงขึ้น) รวมถึงปลอกแม่เหล็กทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการออกแบบชุด MGU-K ของรถแข่งฟอร์มูลาวัน ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าอันซับซ้อนนี้ช่วยเพิ่มพละกำลังอีก 300 แรงม้า เมื่อรวมพละกำลังทั้งจากเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า จึงสามารถผลิตพละกำลังรวมสูงสุดที่ 1200 แรงม้า ส่งผลให้ Ferrari F80 เป็นซูเปอร์คาร์ที่มีพละกำลังมหาศาลและสมรรถนะที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง
ข้อมูลทางเทคนิค Ferrari F80: ความแม่นยำที่สร้างสรรค์ความเร็ว
เครื่องยนต์:
ประเภท: V6 ทำมุม 120 องศา Dry Sump
ความจุกระบอกสูบ: 2,992 ซีซี
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 9,000 รอบ/นาที (จำกัดการทำงานสูงสุดที่ 9,200 รอบ/นาที)
ระบบขับเคลื่อนไฮบริด: สเตเตอร์แบบ Concentrated Winding, สายไฟแบบ Litz, สเตเตอร์และโรเตอร์ติดตั้งในชุดแม่เหล็ก Halbach Array
ระบบส่งกำลังและเกียร์:
ประเภท: 8 จังหวะ คลัตช์คู่ F1 DCT
สมรรถนะ:
ความเร็วสูงสุด: 350 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลัง (MGU-K):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด: การกู้คืนขณะเบรก: 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า); ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์: 60 กิโลวัตต์ (81 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด (มอเตอร์): 45 นิวตันเมตร
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 8.8 กก.
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า:
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (ของมอเตอร์แต่ละตัว): 105 กิโลวัตต์ (142 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: 121 Nm
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 12.9 กก.
แบตเตอรี่แรงดันสูง:
แรงดันสูงสุด: 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (charge/discharge): 242 กิโลวัตต์
พลังงานไฟฟ้า: 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ค่ากระแสที่กำลังไฟสูงสุด: 350 แอมป์
การให้พลังไฟฟ้า: 6.16 กิโลวัตต์/กก.
น้ำหนัก: 39.3 กก.
มิติและน้ำหนัก:
ความยาว: 4,840 มม.
ความกว้าง: 2,060 มม.
ความสูง (ในสภาพน้ำหนักรถพร้อมวิ่งได้): 1,138 มม.
ความยาวฐานล้อ: 2,665 มม.
ความกว้างฐานล้อหน้า: 1,701 มม.
ความกว้างฐานล้อหลัง: 1,660 มม.
น้ำหนักรถเปล่า: 1,525 กก.
อัตราส่วนน้ำหนักรถเปล่า/กำลัง: 1.27 กก./แรงม้า
ความจุถังน้ำมัน: 63.5 ลิตร
ความจุห้องเก็บสัมภาระ: 35 ลิตร
ล้อหน้า: 285/30 R20
ล้อหลัง: 345/30 R21
ปฐมบทแห่งยุคใหม่: มรดกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
Ferrari F80 ไม่ได้เป็นเพียงซูเปอร์คาร์ที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด แต่ยังเป็นปฐมบทแห่งดีไซน์ยุคใหม่ของ Ferrari ด้วยภาษาการออกแบบที่เร้าอารมณ์สุดขั้ว สะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จากการนำดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยานอวกาศมาใช้ เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยีสุดไฮเทคและเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า ในขณะเดียวกันก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานและมรดกอันยาวนานของแบรนด์ไว้ในสายเลือดอย่างไม่เสื่อมคลาย
F80 คือข้อพิสูจน์ที่ว่า Ferrari ไม่เคยหยุดนิ่งในการแสวงหาความสมบูรณ์แบบและการผลักดันขีดจำกัดของนวัตกรรมยานยนต์ มันคือรถยนต์ที่บอกเล่าเรื่องราวของความกล้าหาญในการลองผิดลองถูก ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา และความหลงใหลในความเร็วที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้น การออกแบบที่ไร้ที่ติ และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ F80 ไม่เพียงแต่เป็นจุดสูงสุดของวิศวกรรมยานยนต์ในปัจจุบัน แต่ยังเป็นตัวกำหนดทิศทางของซูเปอร์คาร์แห่งอนาคต ที่จะกลายเป็นตำนานบทใหม่ในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ Ferrari อย่างแน่นอน

