Ferrari F80: เมื่อตำนานบทใหม่ถือกำเนิดขึ้นบนเส้นทางซูเปอร์คาร์แห่งปี 2025
ในโลกแห่งยนตรกรรมที่หมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีเพียงไม่กี่ชื่อเท่านั้นที่จะสามารถตรึงความรู้สึกและจุดประกายความหลงใหลได้อย่างไร้ขีดจำกัด และในบรรดาชื่อเหล่านั้น Ferrari ยืนหยัดเป็นประภาคารแห่งความเร่าร้อน ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมเสมอมา ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ม้าลำพองจากมาราเนลโลได้รังสรรค์ซูเปอร์คาร์ที่กลายเป็นตำนานไปแล้วมากมาย ตั้งแต่ 250 GTO ในยุค 60s, GTO ปี 1984, F40 อันเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 80s ไปจนถึง LaFerrari Aperta ในปี 2016 ซึ่งแต่ละคันล้วนตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการผลักดันขีดจำกัดของวิศวกรรมและการออกแบบ และในปี 2025 นี้เอง Ferrari ได้นำเสนอผลงานชิ้นเอกล่าสุดที่สั่นสะเทือนวงการซูเปอร์คาร์อีกครั้ง นั่นคือ Ferrari F80 ยนตรกรรมไฮบริดที่มิได้เป็นเพียงรถยนต์ แต่คือบทใหม่แห่งตำนานที่พร้อมจารึกหน้าประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง
Ferrari F80 ไม่ใช่แค่การต่อยอด แต่เป็นการปฏิวัติ ซูเปอร์คาร์คันนี้คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างมรดกอันทรงคุณค่าของแบรนด์เข้ากับเทคโนโลยีแห่งอนาคต ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความรุ่งโรจน์ในอดีตและนวัตกรรมที่จะกำหนดทิศทางของยนตรกรรมประสิทธิภาพสูงในทศวรรษหน้า ด้วยการผลิตจำนวนจำกัดเพียง 799 คันทั่วโลก และโควตาสำหรับประเทศไทยเพียง 4 คันที่ถูกจับจองหมดไปอย่างรวดเร็ว ตอกย้ำถึงสถานะความเป็น “ของหายาก” และความต้องการอันท่วมท้นสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะครอบครองที่สุดแห่งสมรรถนะและความเป็นเลิศทางวิศวกรรม
ร่องรอยแห่งตำนานที่สานต่อ: วิวัฒนาการสู่ขุมพลังไฮบริด
นับตั้งแต่ปี 1984 Ferrari ได้เปิดตัวซูเปอร์คาร์รุ่นพิเศษที่มาพร้อมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและได้รับการยอมรับในระดับโลกเสมอมา GTO, F40, F50, Enzo และ LaFerrari ล้วนเป็นชื่อที่สลักอยู่ในใจของผู้หลงใหลรถยนต์ทั่วโลก และ Ferrari F80 คือทายาทล่าสุดที่เปี่ยมล้นไปด้วย DNA แห่งแชมป์เปี้ยน ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชันล่าสุดที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจากสนามแข่ง F1 และ World Endurance Championship (WEC) มาหลอมรวมเข้ากับ Road Car ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในยุค 1980s เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคือหัวใจสำคัญของรถแข่ง F1 และส่งต่อมายังซูเปอร์คาร์ระดับตำนานอย่าง F40 แต่ในปัจจุบัน โลกแห่งมอเตอร์สปอร์ตได้ก้าวข้ามไปสู่ยุคของขุมพลัง V6 เทอร์โบไฮบริด เช่นเดียวกับที่เห็นในรถแข่ง 499P ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าชัยชนะในรายการ 24 Hours of Le Mans ถึงสองครั้งติดต่อกัน นวัตกรรมอันไร้ที่ติจากสนามแข่งนี้เองที่ถูกถ่ายทอดมายัง F80 ทำให้มันไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่คือเครื่องจักรแห่งการขับเคลื่อนที่รวบรวมสุดยอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาไว้บนท้องถนนอย่างแท้จริง การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ V6-Hybrid ไม่ใช่เพียงการทำตามเทรนด์ แต่เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของ Ferrari ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ ควบคู่ไปกับการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นกว่าที่เคยมีมา
F80 ถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่าแค่รถแรง มันคือผลรวมของศาสตร์แห่งแอโรไดนามิก ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา และช่วงล่างแบบแอคทีฟที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพการขับขี่ ทั้งหมดนี้เพื่อมอบสมรรถนะอันดุดันเมื่อโลดแล่นบนสนามแข่ง และยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายอย่างน่าประหลาดใจในการขับขี่ประจำวัน ซูเปอร์คาร์ไฮบริดคันนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าสมรรถนะระดับสูงสุดและใช้งานได้จริงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
สุนทรียภาพแห่งความเร็ว: การออกแบบภายนอกที่เชื่อมโยงอดีตและอนาคต
งานออกแบบของ Ferrari F80 ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างสรรค์โดยทีม Ferrari Styling Centre ภายใต้การนำของ Flavio Manzoni ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างสรรค์สุนทรียภาพที่เชื่อมโยงระหว่างดีไซน์ในอดีตและอนาคตของ Ferrari เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีแรงบันดาลใจหลักมาจากรถแข่ง Formula 1 ของทีมม้าลำพอง แม้จะเป็นรถยนต์ 2 ที่นั่ง แต่ F80 ก็สามารถถ่ายทอดประสบการณ์การขับขี่แบบรถที่นั่งเดี่ยวได้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยการคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ในทุกมิติของสรีระและส่วนโค้งเว้า ตัวถังรถจึงไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อความงาม แต่ยังทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างดาวน์ฟอร์ซและลดแรงต้านอากาศได้อย่างไร้ที่ติ
หนึ่งในรายละเอียดที่โดดเด่นคือไฟหน้าที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้แผ่นบังสีดำที่ดูเป็นแถบเดียว ซึ่งไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นไฟส่องสว่างเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบทางแอโรไดนามิกที่ช่วยสร้างเอกลักษณ์อันโดดเด่นและดูลึกลับให้กับ F80 ส่วนท้ายของรถได้รับการออกแบบให้สั้นกะทัดรัด แต่เต็มไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่น่าทึ่ง ด้วยปีกหลังที่สามารถซ่อนเก็บและยกตัวขึ้นได้ตามความเร็วและโหมดการขับขี่ ไฟท้ายติดตั้งอยู่ในโครงสร้างแบบสองชั้น ซึ่งประกอบด้วยแผงไฟท้ายและสปอยเลอร์ สร้างเอฟเฟกต์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและมีมิติ ไม่ว่าปีกหลังจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม เมื่อสปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้น มันไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน แต่ยังทำให้รถดูมีพลังและคล่องตัวยิ่งขึ้น การออกแบบที่สมดุลระหว่างโครงสร้างทั้งสองนี้สะท้อนถึงปรัชญา “Form Follows Function” ของ Ferrari อย่างชัดเจน
องค์ประกอบทางแอโรไดนามิกอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ช่องแบบ NACA ที่ส่งกระแสลมไปยังช่องรับอากาศของเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้าง ซึ่งเป็นทั้งสัญลักษณ์การออกแบบที่โดดเด่นและใช้งานได้จริง ช่องเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนและอากาศพลศาสตร์ของรถได้อย่างยอดเยี่ยม อีกหนึ่งส่วนสำคัญคือครีบระบายอากาศ 6 ช่องที่ส่วนหลังของห้องเครื่อง ซึ่งทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับแต่ละกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน สร้างความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างเส้นสายเชิงเรขาคณิตและพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถังรถ สุนทรียภาพที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยานอวกาศ ผสานกับการสืบสาน DNA ของตำนาน ทำให้ F80 เป็นยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมยานยนต์ และยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของม้าลำพองอย่างเต็มเปี่ยม
ห้องโดยสารที่มุ่งเน้นผู้ขับ: Ergonomics และการปฏิวัติพวงมาลัย
เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสารของ Ferrari F80 คุณจะสัมผัสได้ถึงปรัชญาการออกแบบที่มุ่งเน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง สัดส่วนของห้องโดยสารเกิดจากการใช้ค็อกพิตที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจากรถแข่งที่นั่งเดี่ยว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในรถแข่ง Formula 1 ที่มีหลังคาปิด ระบบควบคุมและมาตรวัดทั้งหมดถูกจัดวางในแนวเดียวกับผู้ขับขี่ โอบล้อมรอบตัวเขา เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติและฉับไวที่สุด การออกแบบนี้เป็นไปตามหลักสรีรศาสตร์อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ
ตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารทั้ง 2 คนถูกปรับให้เยื้องกันในแนวยาว โดยเบาะผู้โดยสารจะอยู่เยื้องไปด้านหลังมากกว่าเบาะผู้ขับ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้กะทัดรัดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อหลักสรีรศาสตร์และความสะดวกสบาย ทำให้ดีไซเนอร์สามารถออกแบบห้องโดยสารให้เหมาะสมและลดหน้าตัดด้านหน้าของรถลงได้ ซึ่งส่งผลดีต่อประสิทธิภาพทางแอโรไดนามิกโดยรวมของซูเปอร์คาร์ไฮบริดคันนี้
จุดเด่นสำคัญอีกประการหนึ่งคือพวงมาลัยแบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ F80 และคาดว่าจะถูกนำไปใช้ใน Road Car รุ่นอื่นๆ ของ Ferrari ในอนาคต วงพวงมาลัยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย มีส่วนบนและล่างที่ตัดตรง (Flat-top and Flat-bottom) ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นมาตรวัดได้อย่างชัดเจนและเน้นย้ำถึงความรู้สึกสปอร์ตในการขับขี่ ด้านข้างของพวงมาลัยได้รับการปรับให้จับได้แน่นขึ้น ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างไปจากแนวทางที่ Ferrari ใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือ การนำปุ่มควบคุมแบบกายภาพ (Physical Buttons) บนก้านพวงมาลัยด้านขวาและซ้ายกลับมาใช้แทนที่เลย์เอาต์แบบดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมด การกลับมาของปุ่มกดแบบดั้งเดิมนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของ Ferrari ว่า ปุ่มกดที่ใช้งานง่ายและสามารถระบุฟังก์ชันได้ทันทีด้วยการสัมผัสเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประสบการณ์การขับขี่ที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักแข่งและผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่รถสมรรถนะสูงต่างปรารถนา การตัดสินใจนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของฟีดแบ็กจากผู้ขับขี่และฟังก์ชันการใช้งานในสถานการณ์จริงบนท้องถนนและในสนามแข่ง มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ และตอบสนองต่อทุกคำสั่งได้อย่างแม่นยำ
ขุมพลัง V6-Hybrid 3.0 ลิตร: หัวใจแห่งอสูรกาย 1,200 แรงม้า
ภายใต้รูปลักษณ์อันงดงามและดุดันของ Ferrari F80 ซ่อนเร้นขุมพลังที่น่าทึ่ง นั่นคือเครื่องยนต์สันดาปภายใน V6 รหัส F163CF ขนาด 3.0 ลิตร ที่ผลิตกำลังสูงสุด 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Ferrari ด้วยตัวเลข 300 แรงม้า/ลิตร ตัวเลขนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมที่ Ferrari สั่งสมมาอย่างยาวนาน
เครื่องยนต์ V6 ตัวนี้ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่มีการถอดแบบโครงสร้างและองค์ประกอบสำคัญหลายอย่างมาจากรถแข่ง 499P ที่คว้าชัยชนะระดับโลก อาทิ เสื้อสูบ, เลย์เอาต์, ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทมิ่ง, วงจรทางเดินน้ำมันเครื่องไหลกลับเข้าปั๊ม, ประกับข้อเหวี่ยง, หัวฉีด, และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น นอกจากนี้ยังมีการยกระดับระบบวาล์วแปรผันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ได้มาซึ่งสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นที่สุด
F80 ยังเป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ซึ่งมีระบบควบคุมการชิงจุดระเบิด (Pre-ignition Control System) แบบใหม่ ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน (เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB) สิ่งนี้ช่วยปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
นอกจากเครื่องยนต์สันดาปอันทรงพลังแล้ว F80 ยังนำเอาเทคโนโลยีไฮบริดจาก Formula 1 มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย:
ระบบ MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic): พัฒนาจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าในรถแข่ง F1 ของ Ferrari ทำหน้าที่สร้างพลังงานไฟฟ้าจากการเบรกและจ่ายกำลังเสริมให้กับล้อหลัง
ระบบ MGU-Hs (Motor Generator Unit – Heat): สร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์ซึ่งเกิดจากพลังงานความร้อนของก๊าซไอเสีย ซึ่งช่วยลด Turbo Lag ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ชุดเทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo): ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามากำหนดจังหวะการทำงานของ e-turbo ช่วยปรับอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ได้อย่างลงตัวที่สุด ทำให้ไม่มีอาการ Turbo Lag ที่รอบต่ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเครื่องยนต์เทอร์โบ ส่งผลให้การตอบสนองของเครื่องยนต์รวดเร็วทันใจในทุกช่วงรอบความเร็ว
เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง เครื่องยนต์ V6 ถูกติดตั้งให้ใกล้กับใต้ท้องรถที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และยกชุดเกียร์ขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุดแอโรไดนามิกใต้ท้องรถ การออกแบบนี้ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่และความคล่องตัวในโค้งต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งสปริง 2 ชุด ที่ช่วยลดความแข็งของระบบโดยรวมและช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมาจากระบบส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แดมเปอร์กันสะบัด (Anti-roll damper) ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเครื่องยนต์นี้ เพื่อลดความสั่นสะเทือนจากการบิดตัวของระบบขับเคลื่อนและรองรับโหลดที่สูงขึ้นจากพละกำลังที่มหาศาล
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ทั้งหมด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลังรวม MGU-K) ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงาน Ferrari ในมาราเนลโล โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเพิ่มสมรรถนะและลดน้ำหนักลง การออกแบบของมอเตอร์เหล่านี้ร่างขึ้นจากประสบการณ์ตรงของ Ferrari ในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสเตเตอร์และโรเตอร์ในแม่เหล็ก Halbach (ซึ่งใช้รูปแบบเฉพาะในการจัดวางแม่เหล็กให้สร้างสนามแม่เหล็กได้แรงขึ้น) รวมถึงปลอกแม่เหล็กทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการออกแบบชุด MGU-K ของรถแข่ง Formula 1 เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีก 300 แรงม้า เมื่อรวมกับกำลังจากเครื่องยนต์สันดาป 900 แรงม้า ทำให้ Ferrari F80 มีพละกำลังรวมสูงสุดถึง 1,200 แรงม้า ซึ่งถือเป็น ซูเปอร์คาร์พละกำลังสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ Road Car ที่ผลิตจากโรงงาน Ferrari อย่างแท้จริง
สมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่: เหนือกว่าทุกจินตนาการ
Ferrari F80 มาพร้อมระบบส่งกำลังและเกียร์คลัตช์คู่ F1 DCT 8 จังหวะ ที่ได้รับการปรับจูนมาเป็นพิเศษ เพื่อการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและราบรื่นที่สุด สิ่งนี้ช่วยให้ F80 สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.15 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 5.75 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 350 กม./ชม. ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถิติ แต่เป็นข้อพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพที่ไร้ขีดจำกัดของยนตรกรรมไฮบริดคันนี้
การขับขี่ F80 คือประสบการณ์ที่เหนือกว่าการควบคุมรถยนต์ทั่วไป มันคือการเชื่อมโยงกับเครื่องจักรที่ตอบสนองต่อทุกคำสั่งของคุณด้วยความแม่นยำสูงสุด ด้วยระบบขับเคลื่อน 4WD ที่ชาญฉลาด แรงบิดอันมหาศาลของเครื่องยนต์ V6 และมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกกระจายไปยังล้อทั้งสี่อย่างเหมาะสมที่สุด ทำให้การยึดเกาะถนนเป็นไปอย่างมั่นคง ไม่ว่าคุณจะเร่งความเร็วออกจากโค้งหรือทะยานไปข้างหน้าบนทางตรง ช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนอย่างพิถีพิถัน และเทคโนโลยี Formula 1 ที่สอดแทรกอยู่ในทุกอณู ทำให้ F80 สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของการควบคุมรถแข่งระดับโลกมาสู่ท้องถนนได้อย่างน่าทึ่ง
ไม่ว่าคุณจะเลือกที่จะสัมผัสขีดสุดของสมรรถนะบนสนามแข่ง หรือเพลิดเพลินกับการเดินทางบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน Ferrari F80 ก็พร้อมที่จะมอบประสบการณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ มันไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นงานศิลปะแห่งวิศวกรรมที่ขับเคลื่อนได้ เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและรสนิยมอันไร้ที่ติ และเป็นบทสรุปของปรัชญา “การขับขี่คือความสุข” ของ Ferrari
มิติใหม่แห่งดีไซน์และนวัตกรรม
Ferrari F80 ไม่เพียงเป็นจุดสูงสุดของเทคโนโลยีในปัจจุบัน แต่ยังเป็นปฐมบทแห่งดีไซน์ยุคใหม่ของ Ferrari ด้วยภาษาการออกแบบที่เร้าอารมณ์สุดขั้ว สะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากการนำดีไซน์จากยานอวกาศมาใช้เพื่อเน้นย้ำให้เห็นเทคโนโลยีสุดไฮเทคและเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า ขณะเดียวกันก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานไว้ในสายเลือดเช่นเดิม
F80 คือบทพิสูจน์ว่า Ferrari ยังคงเป็นผู้นำและผู้กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมซูเปอร์คาร์ได้อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง ด้วยการผสานรวมมรดกอันยิ่งใหญ่เข้ากับนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง ซูเปอร์คาร์คันนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาสมรรถนะขั้นสุดยอดเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำอย่างแท้จริง เป็นยนตรกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของ Ferrari และพร้อมที่จะเป็นตำนานบทใหม่ที่ถูกเล่าขานไปอีกหลายทศวรรษข้างหน้าในโลกของยนตรกรรมแห่งอนาคต
ข้อมูลทางเทคนิค Ferrari F80 โดยละเอียด
เครื่องยนต์สันดาปภายใน:
เครื่องยนต์: V6 ทำมุม 120 องศา Dry Sump
ความจุกระบอกสูบ: 2,992 ซีซี
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 9,000 รอบ/นาที (จำกัดการทำงานสูงสุดที่ 9,200 รอบ/นาที)
ระบบขับเคลื่อนไฮบริด:
สเตเตอร์: Concentrated Winding, สายไฟแบบ Litz
สเตเตอร์และโรเตอร์: ติดตั้งในชุดแม่เหล็ก Halbach Array
ระบบส่งกำลังและเกียร์:
เกียร์: 8 จังหวะ คลัตช์คู่ F1 DCT
สมรรถนะ:
ความเร็วสูงสุด: 350 กม./ชม.
0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที
0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลัง (MGU-K):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด:
การกู้คืนขณะเบรก: 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า)
ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์: 60 กิโลวัตต์ (81 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด (มอเตอร์): 45 นิวตันเมตร
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 8.8 กก.
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า (แต่ละตัว):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด: 105 กิโลวัตต์ (142 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: 121 นิวตันเมตร
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 12.9 กก.
แบตเตอรี่แรงดันสูง:
แรงดันสูงสุด: 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (charge/discharge): 242 กิโลวัตต์
พลังงานไฟฟ้า: 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ค่ากระแสที่กำลังไฟสูงสุด: 350 แอมป์
การให้พลังไฟฟ้า: 6.16 กิโลวัตต์/กก.
น้ำหนัก: 39.3 กก.
มิติและน้ำหนัก:
ความยาว: 4,840 มม.
ความกว้าง: 2,060 มม.
ความสูง (ในสภาพน้ำหนักรถพร้อมวิ่งได้): 1,138 มม.
ความยาวฐานล้อ: 2,665 มม.
ความกว้างฐานล้อหน้า: 1,701 มม.
ความกว้างฐานล้อหลัง: 1,660 มม.
น้ำหนักรถเปล่า: 1,525 กก.
น้ำหนักรถเปล่า/กำลัง: 1.27 กก./แรงม้า
ความจุถังน้ำมัน: 63.5 ลิตร
ความจุห้องเก็บสัมภาระ: 35 ลิตร
ยาง:
ล้อหน้า: 285/30 R20
ล้อหลัง: 345/30 R21

