Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV V8 เทอร์โบคู่: นิยามใหม่แห่งสุดยอดซูเปอร์คาร์ยุค 2025
ในโลกแห่งยนตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความหลงใหล ไม่มีชื่อใดที่จะตรึงใจเท่า “Ferrari” และเมื่อตำนาน Testarossa ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ในรหัส 849 พร้อมกับการผสมผสานเทคโนโลยี Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) และขุมพลัง V8 เทอร์โบคู่สุดเร้าใจ นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของไอคอน แต่คือการประกาศนิยามใหม่ของ “ซูเปอร์คาร์” แห่งอนาคตสำหรับปี 2025 ที่ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้กว่าทศวรรษ ขอยกให้เป็นผลงานชิ้นเอกที่รวมจิตวิญญาณแห่งม้าลำพองเข้ากับความล้ำสมัยอย่างไร้ที่ติ
Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) ราคาเท่าไร
สำหรับสุดยอดยนตรกรรมแห่งอนาคตคันนี้ ราคาเริ่มต้นคาดการณ์ไว้ที่ 41.1 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงวิศวกรรมระดับสูง งานฝีมืออันประณีต และประสิทธิภาพที่เหนือชั้นที่ Ferrari มอบให้
เปิดมิติใหม่แห่งสีสันและความเฉพาะตัว
849 Testarossa ไม่เพียงแค่เป็นรถยนต์ แต่คือผืนผ้าใบสำหรับการแสดงออกถึงตัวตน ผ่านตัวเลือกการปรับแต่งที่หลากหลาย เพื่อยกระดับความสปอร์ตและเอกลักษณ์ด้านดีไซน์ของรถให้ถึงขีดสุด สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือการเปิดตัวสองเฉดสีใหม่ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดและศิลปะแห่งสีสัน
Rosso Fiammante: นี่ไม่ใช่แค่สีแดง แต่เป็นการต่อยอดจาก Rosso Corsa สีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ที่ทุกคนรู้จักและหลงใหล แต่ Rosso Fiammante ได้รับการพัฒนาด้วยกระบวนการพิเศษที่เพิ่มเอฟเฟกต์เมทัลลิกเข้าไป ทำให้เมื่อยามที่แสงอาทิตย์ตกกระทบ ตัวรถจะเปล่งประกายด้วยแสงสะท้อนที่อบอุ่นและสว่างไสว สร้างมิติแห่งความหรูหราและความทรงพลังที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มันคือการตีความสีแดงของ Ferrari ในแบบที่ทันสมัยและล้ำลึกยิ่งขึ้น
Giallo Ambra: สีเหลืองอำพันเข้มโทนอบอุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจจากความลึกและความหลากหลายของสีธรรมชาติของอำพันแท้ๆ ซึ่งผสมผสานเฉดสีแดงเข้าไปอย่างลงตัว ทำให้ได้สีเหลืองที่ไม่ใช่แค่สดใส แต่ยังมีความลึกลับและสง่างามแฝงอยู่ เป็นสีที่สื่อถึงความล้ำค่าและความเป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง และเพื่อความสมบูรณ์แบบสูงสุด ภายในยังมีการแนะนำ Alcantara Trim สี Giallo Siena ใหม่ ที่ออกแบบมาให้เข้ากันกับสี Giallo Ambra ภายนอกโดยเฉพาะ แสดงถึงความพิถีพิถันในการออกแบบที่มองเห็นภาพรวมทั้งหมด
ขุมพลัง Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta): หัวใจไฮบริด V8 เทอร์โบคู่ที่ไร้เทียมทาน
หัวใจของ 849 Testarossa คือเครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ ซึ่งสืบทอดเชื้อสายมาจากตระกูลเครื่องยนต์ที่เคยคว้ารางวัล International Engine of the Year มาแล้วหลายสมัย แต่ใน 849 Testarossa นี้ เครื่องยนต์ V8 ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อรีดเค้นสมรรถนะไปจนถึงขีดสุด มันไม่ใช่แค่การเพิ่มตัวเลข แต่คือการปรับปรุงวิศวกรรมทุกชิ้นส่วน เพื่อให้ได้กำลังสูงสุดถึง 830 แรงม้า ซึ่งถือเป็นอัตรากำลังเฉพาะที่สูงถึง 208 แรงม้าต่อลิตร เพิ่มขึ้นถึง 50 แรงม้าจากรุ่นก่อนหน้า และนี่คือความสำเร็จที่ยากจะหาใครเทียบเคียง
แต่ความล้ำหน้าไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น Ferrari ยังผสานเครื่องยนต์ V8 นี้เข้ากับระบบไฮบริดสุดล้ำ ที่ต่อยอดมาจากประสบการณ์อันโชกโชนในสนามแข่ง ทำให้ได้ระบบส่งกำลังแบบ PHEV ที่ให้การตอบสนองที่ฉับไวและแรงบิดมหาศาลในทุกย่านความเร็ว เครื่องยนต์ V8 วางกลางด้านหลังนี้ ไม่เพียงแต่ให้สมดุลน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม แต่ยังได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Sports Prototype ในยุค 1970s ในการสร้างแรงกดอากาศ (Downforce) สูงถึง 415 กิโลกรัม ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก SF90 Stradale ถึง 25 กิโลกรัม นี่คือเครื่องยืนยันถึงการออกแบบที่ผสานแอโรไดนามิกส์เข้ากับประสิทธิภาพการระบายความร้อนให้กับระบบส่งกำลังและระบบเบรกที่เพิ่มขึ้นถึง 15% เพื่อให้มั่นใจได้ถึงสมรรถนะที่คงที่แม้ในการขับขี่ที่หนักหน่วงที่สุด
โหมดขับขี่ไฟฟ้า 4 โหมด ที่สามารถเลือกได้ผ่าน eManettino บนพวงมาลัย ได้แก่ eDrive, Hybrid, Performance และ Qualify ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการตอบสนองของรถให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ในโหมด eDrive รถสามารถวิ่งได้สูงสุด 25 กิโลเมตร ด้วยการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองอย่างเงียบเชียบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 7.45 kWh ที่ติดตั้งอยู่ในโครงสร้างตัวถังอย่างชาญฉลาด เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำและสมดุลน้ำหนักที่เหมาะสมที่สุด โหมด Hybrid จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่ Performance และ Qualify จะปลดปล่อยพลังทั้งหมดของระบบไฮบริดและเครื่องยนต์ V8 ออกมาอย่างเต็มพิกัด เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและเหนือชั้นที่สุด
ภายนอก Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta): ศิลปะแห่งความเร็วที่ไร้กาลเวลา
ภายใต้การนำทัพของ Flavio Manzoni ทีม Ferrari Styling Centre ได้ปฏิวัติรูปทรงของ 849 Testarossa โดยยกระดับจาก SF90 Stradale ไปสู่ภาษาการออกแบบเชิงสถาปัตยกรรมและอนาคตที่ผสมผสานเส้นสายเชิงประติมากรรมและองค์ประกอบเชิงเส้นอย่างลงตัว แรงบันดาลใจจากศาสตร์การบินและ Sports Prototypes แห่งยุค 1970s ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเส้นสายที่พลิ้วไหวแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เส้นสายด้านข้าง (Flank) ของตัวรถโดดเด่นด้วยประตูที่ผ่านการขึ้นรูปแบบสามมิติอย่างวิจิตรบรรจง โดยเริ่มจากเส้นสันหลักที่คมชัด พื้นผิวด้านบนของประตูที่ถูกแกะสลักลึกเผยให้เห็นมิติที่ซับซ้อน ทีมออกแบบได้พลิกนิยามความสัมพันธ์ระหว่างตัวถังและห้องโดยสาร โดยแผงประตูถูกขึ้นรูปจากอะลูมิเนียมอัลลอยชิ้นเดียวด้วยกระบวนการผลิตขั้นสูงของ Ferrari นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับรถที่ออกจากสายการผลิตมาตรฐานใดมาก่อน ความพิเศษของงานออกแบบประตูอยู่ที่การทำหน้าที่เป็น Aerodynamic Duct ซึ่งมอบทั้งเอกลักษณ์เชิงสถาปัตยกรรมและความพลิ้วไหว ช่องส่งอากาศเข้าสู่ Intercooler แนวตั้งสีดำ (Contrasting Black Vertical Side Intake) พร้อมช่องดักอากาศเพิ่มเติม ตอกย้ำเอกลักษณ์ทางการออกแบบและแนะนำแนวคิด Three-Dimensional Livery ที่ดูมีชีวิตชีวา เส้นสายที่ต่อเนื่องไปทางด้านหลัง นำสายตาไปสู่ชุดสปอยเลอร์ท้ายแบบคู่ (Double Tail Design) ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Ferrari 512 S ซึ่งปรับสัดส่วนห้องโดยสารให้สปอร์ตและกระชับขึ้นอย่างงดงาม
การออกแบบด้านหน้า (Front) สะท้อนเอกลักษณ์ของ Ferrari ในยุค 1980s ด้วยเส้นสายและมิติที่โฉบเฉี่ยว เส้น Fascia สีดำแนวนอนรูปสะพาน (Bridge-Like Horizontal Fascia) ที่เชื่อมต่อไฟหน้า สะท้อนธีมการออกแบบที่เคยปรากฏบน Ferrari 12Cilindri และ F80 องค์ประกอบนี้สร้างอัตราส่วนใหม่ระหว่างปริมาตรและช่องว่างบนผิวตัวถัง ทำให้เกิดเอฟเฟกต์สปอยเลอร์กว้างเต็มด้าน (Full-Width Spoiler Effect) ที่ทรงพลัง Flicks สีเดียวกับตัวถังและ Splitter สีดำ เติมเต็มพื้นที่ด้านล่างของกันชน เสริมลักษณะทางเทคนิคและแอโรไดนามิกของรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อมองจากด้านบน (Plan View) จะเห็นรูปทรงองค์ประกอบที่สะอาดตา (Extremely Clean Compositional Form) ของตัวรถอย่างชัดเจน Flicks ที่ยื่นออกมาจากกันชนหน้า พร้อมกับสปอยเลอร์สองส่วนชิ้นด้านท้าย ช่วยกำหนดเส้นรอบตัวรถอย่างกลมกลืน Rear Screen ถูกผสานสายตาเข้ากับสปอยเลอร์ส่วนท้ายอีกครั้ง เน้นย้ำเอฟเฟกต์ความเร็วและแรงกดได้อย่างยอดเยี่ยม ล้อฟอร์จ (Forged Wheels) ได้รับการพัฒนาอย่างใกล้ชิดร่วมกับฝ่ายแอโรไดนามิกส์ ด้วยเส้นโปรไฟล์แอโรไดนามิกที่โดดเด่น และการตกแต่งแบบ Diamond-Cut ที่ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศจากช่องล้อและควบคุมการไหลของกระแสอากาศด้านหลัง รูปทรงของล้อยังเปิดโอกาสให้ปรับแต่งได้ทั้งด้านสุนทรียภาพและฟังก์ชันการใช้งานอย่างกว้างขวาง แสดงให้เห็นถึงการหลอมรวมของศิลปะและวิทยาศาสตร์ในทุกรายละเอียด
ภายใน Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta): ห้องนักขับที่โอบล้อมทุกสัมผัส
ก้าวเข้าสู่ภายในของ 849 Testarossa คุณจะพบกับการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการจัดวางแบบ Berlinetta ที่เน้นความกว้างขวางของแดชบอร์ดแนวนอน เข้ากับความรู้สึกแบบค็อกพิท Single-Seater ที่มุ่งเน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง แดชบอร์ดด้านบนมีดีไซน์ลอยตัว (Floating Effect) พร้อมช่องแอร์รูปตัว C (C-Shaped Air Vents) ที่มีกรอบอะลูมิเนียมขัดเงา สะท้อนความหรูหราทันสมัย ระหว่างส่วนบนและส่วนล่างของแดชบอร์ดมีแถบแนวนอนตัดขัด (Contrasting Horizontal Band) ที่รวบรวมฟังก์ชันควบคุมหลักและหน้าจอผู้โดยสารเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน
ส่วนล่างของแดชบอร์ดโดดเด่นด้วยลวดลายเรือใบเชิงสถาปัตยกรรม (Architectural Sail Motifs) ซึ่งรวมฟังก์ชันควบคุมต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน พร้อมด้วย Gate ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก F80 ฝังอยู่ในตำแหน่งลอยตัวด้านฝั่งพวงมาลัย มอบความรู้สึกพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ การจัดวาง Central Tunnel ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อนำคำสั่งรอง (Secondary Commands) มาใช้ในลักษณะที่เป็นระเบียบและเรียบง่ายมากขึ้น ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงการควบคุมต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่รบกวนสมาธิ ธีม Central Sail ยังถูกต่อยอดไปยัง Door Cards โดยมีตำแหน่งสำหรับ Woofer พร้อมตะแกรงอะลูมิเนียมที่ประณีต และยังเป็นที่จัดวาง Door Pull อย่างลงตัว
การออกแบบภายในมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่และปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomics) ให้ถึงขีดสุด ความสะดวกในการเข้าถึงได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการลดความกว้างของส่วนล่างของแผงประตูและพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้มีพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับด้านหลังเบาะ (Rear Bench) และกล่องเก็บของฝั่งผู้โดยสาร (Passenger-Side Glove Box) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับรถยนต์ในยุค 2025 ที่ยังคงให้ความสำคัญกับประโยชน์ใช้สอยแม้ในซูเปอร์คาร์
เบาะนั่งมีให้เลือกสองแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของนักขับ:
Comfort: เบาะหุ้มที่ปรับแต่งเชิงประติมากรรมอย่างประณีต ดีไซน์ที่สอดคล้องกับรูปทรงของค็อกพิท มอบความสบายสูงสุดสำหรับการเดินทางระยะไกลหรือการขับขี่ในชีวิตประจำวัน
Carbon-Fibre Racing Seat: เบาะคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา พร้อม Side Bolsters แบบสปอร์ตที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อประคองลำตัวด้านข้างได้อย่างเหมาะสมที่สุดในการขับขี่ความเร็วสูงบนสนามแข่ง
ทั้งสองรุ่นเกิดจากการศึกษาเชิงผสมระหว่างหลักสรีรศาสตร์และการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อมอบสมรรถนะและความสะดวกสบายสูงสุดที่หาที่เปรียบไม่ได้
ระบบอินเตอร์เฟซผู้ขับขี่ (HMI – Human-Machine Interface) บนพวงมาลัยของ 849 Testarossa ได้รวมเอาฟังก์ชันทั้งดิจิทัลและอนาล็อกไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด ปุ่มควบคุมแบบกดที่ปรากฏใน F80 ถูกนำมาใช้ต่อ รวมถึงปุ่ม Engine Start อันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ในขณะที่ Digital Cluster ช่วยให้ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วผ่าน eManettino อินเตอร์เฟซผู้ใช้ถูกออกแบบให้รวมฟังก์ชันรอบตัวผู้ขับขี่ ทำให้ผู้ขับรู้สึกถูกโอบล้อมด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขับขี่ (Enveloping Effect) ที่ครอบคลุมไปถึงแผงประตูและ Central Tunnel สำหรับในส่วนพื้นที่ฝั่งผู้โดยสารก็จะได้รับความรู้สึกโอบล้อมแบบเดียวกัน แต่ในระดับที่น้อยกว่าและไม่ชัดเท่าฝั่งผู้ขับ เพื่อคงความรู้สึกพิเศษของนักขับไว้ ระบบเชื่อมต่อรองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto® อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมระบบชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน ที่ฝังอยู่ใน Central Tunnel อย่างกลมกลืน นอกจากนี้ รถยนต์ยังติดตั้ง MyFerrari Connect System ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบสภาพรถจากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับรถยนต์ระดับพรีเมียมในยุคปัจจุบัน
เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta): วิศวกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
Ferrari 849 Testarossa ไม่ได้เป็นเพียงซูเปอร์คาร์ที่เร็วและสวยงาม แต่ยังเป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ยุค 2025
ระบบ FIVE (Ferrari Integrated Vehicle Estimator): นี่คือการพัฒนาครั้งสำคัญของการควบคุมสมรรถนะตัวรถ ซึ่งเป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่เคยเป็นไปได้ FIVE คือระบบประมาณค่าที่สามารถสร้าง Digital Twin เพื่อจำลองพฤติกรรมของรถแบบเรียลไทม์ โดยอ้างอิงจากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ถูกทำให้ง่ายขึ้นและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริงจากเซนเซอร์ต่างๆ (ค่าอัตราเร่ง, เซนเซอร์ 6D) FIVE สามารถประเมินคุณลักษณะด้านสมรรถนะที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรงได้อย่างแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ เช่น ความเร็ว (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 กม./ชม.) และมุมการหมุนรอบแกนตั้งหรือ Yaw Angle (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1°) ของรถ ความแม่นยำระดับนี้ช่วยให้การควบคุมการยึดเกาะ ระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า (Electronic Differential Management) และการส่งกำลังของระบบ e4WD มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ค่าประมาณเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังระบบควบคุมสมรรถนะทั้งหมดของตัวรถ ทำให้การตอบสนองมีความแม่นยำและเสถียรยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ABS Evo ใช้ค่าประมาณจาก FIVE เพื่อตรวจหาอัตราการลื่นไถลที่เหมาะสมของล้อทั้งสี่และปรับสมดุลการกระจายแรงเบรก ระบบนี้ทำงานในทุกตำแหน่งของ Manettino และในทุกสภาพการยึดเกาะ การประเมินความเร็วที่แม่นยำขึ้นทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากแรงตามแนวยาวของยางได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในสถานการณ์การเบรกตรงๆ และการเบรกร่วมกับการเข้าโค้ง (Brake Then Turn-In) ช่วยลดความสูญเสียที่เกิดจากความคลาดเคลื่อนของชิ้นส่วนหรือความแปรผันจากสภาพแวดล้อม ผลลัพธ์ที่ได้คือการเบรกที่ลึกขึ้น หนักขึ้น และสามารถทำซ้ำได้แม่นยำยิ่งกว่า SF90 Stradale พร้อมประสิทธิภาพของการควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่สูงกว่ารถในตระกูล Ferrari รุ่นใดๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ระบบเบรก (Braking System): ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองต่อสมรรถนะที่สูงขึ้น มาพร้อมจานเบรกและผ้าเบรกขนาดใหญ่ขึ้นรอบคัน โดยที่จานเบรกคู่หน้ามีช่องระบายอากาศ (Ventilation Channels) ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่คาลิเปอร์หลัง (Rear Callipers) รุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความร้อนและความแข็งแรงเชิงโครงสร้าง การทำงานร่วมกันของชิ้นส่วนเหล่านี้ช่วยรับประกันทั้งประสิทธิภาพด้านความร้อน ความแข็งแรง และสมรรถนะที่คงที่แม้ภายใต้การใช้งานอย่างต่อเนื่องบนสนามแข่ง
ช่วงล่าง (Suspension): Ferrari 849 Testarossa มาพร้อมการเซ็ตอัพช่วงล่างเฉพาะ (Dedicated Suspension Setup) และมุมคิเนแมติก (Kinematic Angles) ที่ถูกปรับแต่งอย่างละเอียดเพื่อการควบคุมที่แม่นยำเมื่อถึงขีดสุดของการขับขี่ สมรรถนะด้านอัตราเร่งในแนวขวางเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับ SF90 Stradale ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ยางรุ่นใหม่และการปรับเซ็ตอัพเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักของคอยล์สปริง (Road Springs) ลงได้ถึง 35% ค่าการโคลงตัว (Roll Gradient) ลดลง 10% ส่งผลให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวถังดีขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์และ Dynamic Camber การทำงานของโช้กอัพ (Shock Absorber Damping) ได้รับการปรับแต่งทั้งจากการจำลองเสมือนและการทดสอบจริง เพื่อสะท้อนพฤติกรรมของรถทั้งในการขับบนถนนและในสนามแข่ง มอบความมั่นใจและประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (ADAS): เพื่อยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุดในยุค 2025 ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้รับการบูรณาการอย่างชาญฉลาด โดยจะเข้ามาทำงานเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน และด้วยวิธีที่รบกวนการขับขี่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เฉพาะเมื่อผู้ขับต้องการจริง ๆ ระบบทั้งหมดสามารถปรับแต่งได้เต็มรูปแบบผ่านเมนูบน Instrument Cluster ฟีเจอร์หลักประกอบด้วย:
Adaptive Cruise Control พร้อม Stop & Go: ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่สามารถรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้อย่างปลอดภัย และสามารถหยุดและออกตัวใหม่เองในสภาวะการจราจรหนาแน่น ทำให้การเดินทางไกลหรือการขับขี่ในเมืองเป็นไปอย่างผ่อนคลาย
Automatic Emergency Braking: ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ช่วยชะลอหรือหยุดรถเมื่อมีความเสี่ยงการชน โดยสามารถตรวจจับนักปั่นจักรยานได้ด้วย เพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้ถนนร่วมกัน
Blind Spot Detection: ระบบตรวจจับวัตถุในมุมอับสายตา แจ้งเตือนผู้ขับเมื่อมีรถอยู่ด้านข้างเพื่อป้องกันการเปลี่ยนเลนที่ไม่ปลอดภัย
Lane Departure Warning: ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว เพื่อช่วยให้ผู้ขับรักษาตำแหน่งรถให้อยู่ในเลนได้อย่างถูกต้อง
Lane Keeping Assist: ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน โดยจะส่งแรงเล็กน้อยที่พวงมาลัยเพื่อช่วยควบคุมทิศทางอย่างนุ่มนวล
Automatic High Beam: ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ เพื่อมอบทัศนวิสัยที่ดีที่สุดในเวลากลางคืนโดยไม่รบกวนรถคันอื่น
Traffic Sign Recognition: ระบบจดจำป้ายจราจร เช่น จำกัดความเร็ว หรือป้ายห้ามแซง และแสดงผลบนหน้าปัดเพื่อให้ผู้ขับรับทราบและปฏิบัติตามกฎจราจร
Surround View: ระบบกล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และการจอดในพื้นที่แคบได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Rear Cross Traffic Alert: ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งตัดผ่านด้านหลังในขณะถอยรถ ลดความเสี่ยงจากการชนในมุมอับสายตา
Driver Fatigue Monitoring: ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับโดยวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ หากตรวจพบสัญญาณความอ่อนล้า ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับพักผ่อน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทาง
Ferrari 849 Testarossa (Berlinetta) PHEV V8 เทอร์โบคู่ จึงเป็นมากกว่าแค่ซูเปอร์คาร์ แต่คือผลงานชิ้นเอกที่หลอมรวมประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เข้ากับเทคโนโลยีแห่งอนาคต ด้วยดีไซน์ที่งดงามเหนือจินตนาการ ขุมพลังที่เร้าใจไร้ขีดจำกัด ห้องโดยสารที่รังสรรค์มาเพื่อผู้ขับขี่ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะที่พร้อมปกป้องในทุกเส้นทาง มันคือสุดยอดแห่งยนตรกรรมที่พร้อมจะสร้างตำนานบทใหม่ในปี 2025 และก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม
หากคุณคือผู้ที่ปรารถนาความเป็นเลิศ ผู้ที่มองหาประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือการเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความเร็วและศิลปะวิศวกรรมขั้นสูงสุด Ferrari 849 Testarossa คือบทสรุปแห่งความฝันนั้น เราขอเชิญคุณสัมผัสตำนานที่กลับมาเกิดใหม่ และเปิดประตูสู่โลกแห่งซูเปอร์คาร์ที่เหนือกว่าทุกจินตนาการ
โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่าย Ferrari อย่างเป็นทางการ เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและการนัดหมายเพื่อสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษนี้ด้วยตัวคุณเอง

