เฟอร์รารี่ F80: กำเนิดตำนานบทใหม่แห่งซูเปอร์คาร์ไฮบริด 1,200 แรงม้า ที่สุดแห่งนวัตกรรมจากมาราเนลโล
ในโลกแห่งยนตรกรรมหรูหราที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วและนวัตกรรมอันไร้ขีดจำกัด ไม่มีชื่อใดสะท้อนถึงความปรารถนาและความเป็นเลิศได้เท่ากับ Ferrari ม้าลำพองจากมาราเนลโลได้รังสรรค์ซูเปอร์คาร์ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 นี้ Ferrari F80 ได้ตอกย้ำสถานะของแบรนด์ในฐานะผู้บุกเบิกอีกครั้ง ด้วยการผสานมรดกอันรุ่งโรจน์เข้ากับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างไร้รอยต่อ
Ferrari F80 ไม่ใช่แค่ ซูเปอร์คาร์ คันใหม่ล่าสุด แต่เป็นผลงานชิ้นเอกที่ถูกยกให้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานเคียงข้างรุ่นพี่ในอดีตอย่าง GTO ปี 1984, F40, และ LaFerrari Aperta ปี 2016 ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่อัดแน่นเต็มคัน F80 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านนวัตกรรมและความเป็นเลิศทางวิศวกรรม นับเป็น รถยนต์จำกัดจำนวน เพียง 799 คันทั่วโลก โดยมีเพียง 4 คันที่ได้รับจัดสรรมายังประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดได้ถูกจับจองเป็นเจ้าของไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ยิ่งตอกย้ำความพิเศษและความต้องการอันสูงลิ่วของ รถสะสม คันนี้
บทที่ 1: มรดกแห่งความเร็วและวิวัฒนาการสู่ยุคไฮบริด
ตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา Ferrari ได้ทยอยเปิดตัว ซูเปอร์คาร์ รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความล้ำสมัยทางเทคโนโลยี และได้รับการยกย่องจากนักสะสมและผู้คลั่งไคล้ความเร็วทั่วโลก จนกลายเป็นตำนานที่มีเรื่องราวมากมายในประวัติศาสตร์ของ Ferrari F80 คือบทล่าสุดในเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้ มันคือภาพสะท้อนของการวิวัฒนาการที่ Ferrari ไม่เคยหยุดนิ่งในการแสวงหาสมรรถนะขั้นสูงสุด โดยนำเอา เทคโนโลยีไฮบริด เจเนอเรชั่นล่าสุดมาผสานเข้ากับเครื่องยนต์เพื่อรีดเค้นพละกำลังและแรงบิดสูงสุด รวมถึงโครงสร้าง แชสซีส์คาร์บอนไฟเบอร์ ที่เบาและแข็งแกร่ง อากาศพลศาสตร์ ที่เหนือชั้น และ ระบบกันสะเทือนแอคทีฟ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถยนต์ถนนทั่วไป ทำให้ F80 สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า โดยยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ F80 ได้รับแรงบันดาลใจและแหล่งพลังงานบางส่วนมาจาก ซูเปอร์คาร์ รุ่นก่อนหน้าอย่าง GTO และ F40 ซึ่งในยุค 1980 นั้น รถแข่ง Formula 1 ยังคงใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบ แต่ในปัจจุบัน โลกของมอเตอร์สปอร์ตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งรถแข่ง Formula 1 และรถแข่ง World Endurance Championship (WEC) ต่างก็หันมาใช้เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบทำงานร่วมกับ ระบบไฮบริด แบบ 800 โวลต์ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ใช้อยู่ในรถแข่ง 499P ที่คว้าชัยชนะในรายการ 24 Hours of Le Mans ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน นวัตกรรมนี้จึงถูกถ่ายทอดมาสู่ F80 อย่างไม่น่าประหลาดใจ ทำให้มันเป็น เฟอร์รารี่รุ่นใหม่ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการเชื่อมโยงสนามแข่งเข้ากับท้องถนน
บทที่ 2: ศิลปะแห่งอากาศพลศาสตร์: การออกแบบภายนอกที่ไร้ที่ติ
การออกแบบภายนอกของ Ferrari F80 สร้างสรรค์โดยทีม Ferrari Styling Centre ภายใต้การนำของ Flavio Manzoni ซึ่งได้สร้างความเชื่อมโยงที่น่าทึ่งระหว่างดีไซน์ในอดีตและอนาคตของ Ferrari โดยยังคงผสานเอกลักษณ์และ DNA ของแบรนด์ไว้อย่างชัดเจน การออกแบบมุ่งเน้นไปที่สุนทรียศาสตร์ของรถแข่ง Formula 1 เป็นอันดับแรก ถึงแม้ F80 จะเป็นรถยนต์ 2 ที่นั่ง แต่ก็สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่แบบรถที่นั่งเดี่ยวได้อย่างเต็มพิกัด ทุกสรีระ ส่วนโค้งเว้า ล้วนถูกคำนึงถึงหลัก อากาศพลศาสตร์ เพื่อให้ สมรรถนะ และประสิทธิภาพของรถคันนี้ไร้ซึ่งที่ติอย่างแท้จริง
รายละเอียดการออกแบบที่โดดเด่น:
ไฟหน้าแบบซ่อนเร้น: ไฟหน้าถูกติดตั้งอยู่ใต้แผ่นบังสีดำที่ทำหน้าที่เป็นทั้งช่องดักอากาศเพื่อ อากาศพลศาสตร์ และเป็นไฟส่องสว่างไปพร้อมๆ กัน มอบรูปโฉมที่ล้ำสมัยและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ F80
ส่วนท้ายที่สั้นกะทัดรัดแต่ทรงพลัง: ส่วนท้ายของรถให้มุมมองที่แตกต่างกันสองรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งาน ด้วย สปอยเลอร์หลัง ที่สามารถเก็บซ่อนและยกตัวขึ้นได้ ไฟท้ายติดตั้งอยู่ในโครงสร้างแบบสองชั้นซึ่งประกอบไปด้วยแผงไฟท้ายและสปอยเลอร์ สร้างเอฟเฟกต์แบบประกบที่ส่งให้มุมมองด้านท้ายดูโฉบเฉี่ยวสุดขั้ว ไม่ว่าสปอยเลอร์หลังจะเก็บหรือยกตัวขึ้น เมื่อสปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้น รถจะดูมีพลังและคล่องตัวมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ช่อง NACA: ช่องแบบ NACA เป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งโดดเด่นและใช้งานได้จริง โดยทำหน้าที่ส่งกระแสลมไปยังช่องรับอากาศของเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่ที่สุดของด้านข้างอีกด้วย เป็นการผสมผสาน ดีไซน์รถยนต์ เข้ากับ นวัตกรรมยานยนต์ ได้อย่างลงตัว
ครีบระบายอากาศด้านหลัง: องค์ประกอบที่มีอัตลักษณ์สำคัญอย่างมากคือครีบระบายอากาศที่ส่วนหลังของห้องเครื่อง ซึ่งมีช่องทั้งหมด 6 ช่องสำหรับแต่ละกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดระหว่างเส้นสายของรูปทรงเรขาคณิตและพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถังรถ
การออกแบบทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดลักษณะรูปลักษณ์และ สมรรถนะสูง ของ Ferrari F80 ซึ่งเป็น รถสปอร์ต ที่ไม่เพียงแต่สะกดทุกสายตา แต่ยังเป็นเครื่องจักรที่พร้อมปลดปล่อยพลังงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
บทที่ 3: ห้องโดยสารที่หลอมรวมคนกับเครื่องจักร
ภายในห้องโดยสารของ Ferrari F80 สื่อถึงปรัชญาการออกแบบที่ต้องการหลอมรวมผู้ขับเข้ากับเครื่องจักรได้อย่างแนบสนิท สัดส่วนของห้องโดยสารเกิดขึ้นจากการใช้ค็อกพิตที่นำแรงบันดาลใจมาจากรถแข่งแบบที่นั่งเดี่ยว ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดูคล้ายกับรถแข่ง Formula 1 แต่มีหลังคาปิด การออกแบบเป็นไปตามหลัก สรีรศาสตร์ อย่างสมบูรณ์แบบ โดยจัดวางแผงควบคุมและมาตรวัดให้อยู่ในแนวเดียวกับผู้ขับขี่อย่างแนบเนียน
สิ่งที่น่าสนใจคือตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารทั้ง 2 คน ถูกปรับให้เยื้องกันในแนวยาว ทำให้สามารถปรับเบาะผู้โดยสารให้ถอยหลังได้มากกว่าเบาะผู้ขับ ภายในห้องโดยสารจึงมีพื้นที่กะทัดรัดโดยไม่กระทบต่อหลัก สรีรศาสตร์ และสัมผัสแห่งความสะดวกสบาย วิธีนี้ทำให้ดีไซเนอร์สามารถออกแบบห้องโดยสารให้เหมาะสมและลดหน้าตัดด้านหน้าของรถได้ ซึ่งส่งผลดีต่อ อากาศพลศาสตร์ โดยรวม
นอกจากนี้ F80 ยังมี พวงมาลัยใหม่ ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ และจะถูกนำไปใช้ในม้าลำพองแบบ Road Car รุ่นอื่นๆ ต่อไปในอนาคต วงพวงมาลัยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย มีส่วนบนและล่างที่ตัดตรง ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นและเน้นความรู้สึกสปอร์ตเมื่อขับขี่ ด้านข้างของพวงมาลัยได้รับการปรับให้จับได้แน่นขึ้น ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่แฟนๆ Ferrari หลายคนชื่นชอบคือการที่ปุ่มควบคุมบนก้านพวงมาลัยด้านขวาและซ้ายถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง แทนที่เลย์เอาต์แบบดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมดที่ Ferrari ใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปุ่มกด (แบบดั้งเดิม) ใช้งานง่ายกว่าและสามารถระบุว่าเป็นปุ่มอะไรได้ทันทีด้วยการสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์การขับขี่ สมรรถนะสูง ที่ต้องการการตอบสนองที่ฉับไวและแม่นยำ นี่คือ ประสบการณ์ขับขี่ ที่เน้นความรู้สึกและการควบคุมที่แท้จริง
บทที่ 4: หัวใจไฮบริด V6 3.0 ลิตร: พลังที่ไร้ขีดจำกัด 1,200 แรงม้า
หัวใจหลักของ Ferrari F80 คือ ขุมพลังเครื่องยนต์ V6-Hybrid ขนาด 3.0 ลิตร รหัส F163CF ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาสู่ถนนอย่างแท้จริง
เครื่องยนต์สันดาปภายใน V6:
เครื่องยนต์ V6 ขนาดความจุ 3.0 ลิตรนี้ผลิต พละกำลังสูงสุดที่ 900 แรงม้า ถือเป็นเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Ferrari (300 แรงม้า/ลิตร) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับ รถสปอร์ต
มีการถอดแบบโครงสร้างของเครื่องยนต์และอีกหลากหลายองค์ประกอบมาจากรถแข่ง 499P ที่ชนะเลิศ Le Mans อาทิ เสื้อสูบ เลย์เอาต์ ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทมิ่ง วงจรทางเดินน้ำมันเครื่องไหลกลับเข้าปั๊ม ประกับข้อเหวี่ยง หัวฉีด และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น
ยกระดับระบบวาล์วแปรผันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ซึ่งมี ระบบควบคุมการชิงจุดระเบิด แบบใหม่ ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด จึงใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน (เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB) ปลดปล่อยศักยภาพของ เครื่องยนต์ V6 ได้มากยิ่งขึ้น
ระบบไฮบริดและ e-Turbo: นวัตกรรมจาก Formula 1:
F80 ได้นำเอา เทคโนโลยีจาก Formula 1 มาใช้ทั้งรูปแบบของระบบ MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic) ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งใช้อยู่ในรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari และระบบ MGU-Hs (Motor Generator Unit – Heat) ซึ่งสร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์ซึ่งเกิดจากพลังงานความร้อนของก๊าซไอเสีย
ร่วมด้วยชุด เทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo) ที่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามากำหนดจังหวะการทำงานของ e-turbo ช่วยปรับอากาศเข้าได้อย่างลงตัวที่สุด ทำให้ไม่มีอาการ Turbo Lag ที่รอบต่ำ อย่างที่มักเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์เทอร์โบทั่วไป เพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น นี่คือ นวัตกรรมยานยนต์ ที่เปลี่ยนเกมการขับขี่ไปโดยสิ้นเชิง
การผสานพลังและช่วงล่าง:
เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง เครื่องยนต์จึงถูกติดตั้งให้ใกล้กับใต้ท้องรถที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อยกชุดเกียร์ขึ้น ไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุด อากาศพลศาสตร์ ใต้ท้องรถ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ สมรรถนะสูง
ติดตั้งสปริง 2 ชุด ช่วยลดความแข็งของระบบโดยรวมและช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมาจากระบบส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
แดมเปอร์กันสะบัดถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเครื่องยนต์นี้เพื่อลดความสั่นสะเทือนจากการบิดตัวของ ระบบขับเคลื่อน และโหลดที่สูงขึ้นจากพละกำลังที่มากกว่าเดิม
มอเตอร์ไฟฟ้าที่พัฒนาโดย Ferrari:
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงาน Ferrari ใน มาราเนลโล ทั้งสิ้น เป้าหมายคือการเพิ่ม สมรรถนะ สูงสุดและลดน้ำหนักลง
การออกแบบของมอเตอร์ทั้งหมด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลังของรถ) ร่างขึ้นจากประสบการณ์ตรงของ Ferrari ในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสเตเตอร์และโรเตอร์ในแม่เหล็ก Halbach (ซึ่งใช้รูปแบบที่เฉพาะเจาะจงในการจัดวางแม่เหล็กให้สร้างสนามแม่เหล็กได้แรงขึ้น) รวมทั้งปลอกแม่เหล็กทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการออกแบบชุด MGU-K ของรถแข่ง Formula 1
มอเตอร์ไฟฟ้าเหล่านี้ช่วยเพิ่ม พละกำลัง ขึ้นอีก 300 แรงม้า เมื่อรวมพละกำลังทั้งจากเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า จึงสามารถผลิต พละกำลังรวมสูงสุดที่ 1,200 แรงม้า ทำให้ F80 เป็น ซูเปอร์คาร์ไฮบริด ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Road Car ที่ผลิตจากโรงงาน Ferrari
บทที่ 5: สมรรถนะที่ปลุกเร้าทุกโสตประสาท
ตัวเลขทาง เทคโนโลยีรถยนต์ ที่อัดแน่นใน Ferrari F80 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อมูลทางเทคนิค แต่เป็นคำสัญญาของ ประสบการณ์ขับขี่ ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยพละกำลังรวม 1,200 แรงม้า และ ระบบขับเคลื่อน 4WD ทำให้ F80 สามารถปลดปล่อยศักยภาพของมันได้อย่างเต็มที่บนทุกสภาพถนน
อัตราเร่งสุดขีด: อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.15 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 5.75 วินาที เป็นตัวเลขที่เหนือจริงสำหรับ รถหรู บนท้องถนน มันคือความรู้สึกของการถูกผลักไปข้างหลังอย่างรุนแรงเมื่อกดคันเร่ง ที่จะทำให้ทุกการเดินทางเป็นเหมือนการแข่งขันในสนาม
ความเร็วสูงสุด: ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 350 กม./ชม. และอาจทะลุไปได้อีก ทำให้ F80 ไม่เพียงแต่เป็น รถสปอร์ต ที่เร็วที่สุดคันหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถทางวิศวกรรมของ Ferrari ในการควบคุมพลังงานมหาศาลนี้
การควบคุมที่แม่นยำ: ด้วย แชสซีส์คาร์บอนไฟเบอร์ ที่แข็งแกร่ง อากาศพลศาสตร์ ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และ ระบบกันสะเทือนแอคทีฟ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Formula 1 ทำให้ F80 มีการยึดเกาะถนนและการตอบสนองที่เฉียบคม การเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วสูงจะรู้สึกมั่นคงและควบคุมได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของผู้ขับขี่
เสียงอันเป็นเอกลักษณ์: แม้จะเป็น เครื่องยนต์ V6-Hybrid แต่ Ferrari ก็ยังคงรักษาเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ที่เร้าใจ เพื่อให้ทุกการเร่งเครื่องยนต์เป็นประสบการณ์ที่ปลุกเร้าทุกโสตประสาท
Ferrari F80 เป็นมากกว่าแค่พาหนะ มันคือบทกวีแห่งความเร็วและนวัตกรรม ที่ถูกออกแบบมาเพื่อมอบ ประสบการณ์ขับขี่ ที่ไม่สามารถลืมเลือนได้
บทที่ 6: ข้อมูลทางเทคนิค FERRARI F80 (สรุป)
นี่คือรายละเอียดทางเทคนิคที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้าของ ซูเปอร์คาร์ไฮบริด คันนี้:
เครื่องยนต์:
ชนิด: V6 ทำมุม 120 องศา Dry Sump
ความจุกระบอกสูบ: 2,992 ซีซี
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 9,000 รอบ/นาที (จำกัดการทำงานสูงสุดที่ 9,200 รอบ/นาที)
ระบบขับเคลื่อนไฮบริด:
สเตเตอร์แบบ Concentrated Winding, สายไฟแบบ Litz, สเตเตอร์และโรเตอร์ติดตั้งในชุดแม่เหล็ก Halbach Array
ระบบส่งกำลังและเกียร์:
8 จังหวะ คลัตช์คู่ F1 DCT
สมรรถนะ:
ความเร็วสูงสุด: 350+ กม./ชม.
0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที
0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลัง (MGU-K):
พลังงานสูงสุด: กู้คืนขณะเบรก 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า); ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ 60 กิโลวัตต์ (81 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด (มอเตอร์): 45 นิวตันเมตร
น้ำหนัก: 8.8 กก.
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า (แต่ละตัว):
พลังงานสูงสุด: 105 กิโลวัตต์ (142 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: 121 นิวตันเมตร
น้ำหนัก: 12.9 กก.
แบตเตอรี่แรงดันสูง:
พลังงานไฟฟ้า: 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง
น้ำหนัก: 39.3 กก.
มิติและน้ำหนัก:
ความยาว: 4,840 มม.
ความกว้าง: 2,060 มม.
ความสูง: 1,138 มม.
น้ำหนักรถเปล่า: 1,525 กก.
อัตราส่วนน้ำหนักรถเปล่า/กำลัง: 1.27 กก./แรงม้า
ล้อ:
ล้อหน้า: 285/30 R20
ล้อหลัง: 345/30 R21
บทสรุป: ผู้บุกเบิกแห่งยุคสมัยใหม่
Ferrari F80 ไม่ได้เป็นเพียง ซูเปอร์คาร์ ที่เต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาลเท่านั้น แต่ยังเป็นปฐมบทแห่ง ดีไซน์รถยนต์ ยุคใหม่ของ Ferrari ด้วยภาษาการออกแบบที่เร้าอารมณ์สุดขั้ว สะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากการนำดีไซน์จากยานอวกาศมาใช้เพื่อเน้นย้ำให้เห็น เทคโนโลยีสุดไฮเทค และเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า ขณะเดียวกันก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานไว้ในสายเลือดเช่นเดิม
F80 คือความสำเร็จทางวิศวกรรมที่หาตัวจับยาก เป็นการรวมเอาสุดยอด นวัตกรรมยานยนต์ เข้ากับงานศิลปะแห่งความเร็ว มันคือข้อพิสูจน์ว่า Ferrari ไม่เคยหยุดนิ่งในการผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่เป็นไปได้ และเป็น เฟอร์รารี่รุ่นใหม่ ที่พร้อมจะจารึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้กำหนดทิศทางของ ซูเปอร์คาร์ไฮบริด ในทศวรรษหน้าอย่างแท้จริง สำหรับผู้ที่โชคดีได้เป็นเจ้าของ F80 คือมากกว่าแค่ รถหรู แต่มันคือตำนานบทใหม่ที่พร้อมจะโลดแล่นไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง.

