Chery Tiggo 9 PHEV: ยกระดับประสบการณ์ SUV หรูยุคใหม่ ด้วยสมรรถนะเหนือชั้นและเทคโนโลยีสุดล้ำ – บทวิเคราะห์เชิงลึก 2025
บทนำ: ภูมิทัศน์ยานยนต์ปี 2025 และการมาของ Chery Tiggo 9 PHEV
ในห้วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ปี 2025 ถือเป็นหมุดหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับทิศทางของรถยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ความต้องการรถยนต์ที่ผสานประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานเข้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะและความหรูหรา กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนได้เข้ามามีบทบาทโดดเด่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยการนำเสนอทางเลือกที่น่าสนใจ ทั้งในด้านนวัตกรรม สมรรถนะ และราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น Chery ในฐานะผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำจากจีน ก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่กำลังเร่งสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าในตลาดโลกอย่างมุ่งมั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปิดตัว Chery Tiggo 9 PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) เรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการจับตามองว่าเป็นผู้ท้าชิงรายสำคัญในเซกเมนต์ D-SUV หรือกลุ่มรถ SUV ขนาดกลางถึงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือด
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่มีประสบการณ์มากว่าทศวรรษ ผมมองว่า Chery Tiggo 9 PHEV ไม่ได้เป็นเพียงรถยนต์รุ่นใหม่ธรรมดา แต่เป็นการประกาศศักดาอย่างเป็นทางการของ Chery ที่พร้อมจะยกระดับมาตรฐานของรถ SUV ในตลาด ด้วยการนำเสนอแพ็คเกจที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านการออกแบบที่หรูหรา เทคโนโลยีห้องโดยสารสุดล้ำ สมรรถนะที่เร้าใจ และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาสมดุลระหว่างความประหยัด ความแรง และความสะดวกสบายขั้นสูงสุด บทความนี้จะเจาะลึกทุกมิติของ Chery Tiggo 9 PHEV เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมและศักยภาพอันแท้จริงของรถคันนี้ ก่อนที่จะมาถึงประเทศไทยในช่วงปลายปี 2026
การออกแบบที่สะท้อนความหรูหราและพละกำลัง: ภายนอก
Chery Tiggo 9 PHEV ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Peak Form Aesthetics” ที่มุ่งเน้นความหรูหรา สง่างาม และความแข็งแกร่งไปพร้อมกัน หากมองจากภายนอก รถคันนี้สะท้อนออร่าของความพรีเมียมและทรงพลังได้อย่างชัดเจน ในยุคที่รถ SUV กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความคล่องตัว การออกแบบจึงต้องตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและสไตล์
กระจังหน้าทรง Waterfall Grille: สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคือกระจังหน้าขนาดใหญ่ดีไซน์ “Waterfall” หรือแบบน้ำตก ที่ประดับด้วยโครเมียมอย่างประณีต มอบความรู้สึกโอ่อ่าและสง่างาม คล้ายคลึงกับงานออกแบบของรถยนต์หรูจากยุโรปบางรุ่นที่เน้นความโดดเด่นของส่วนหน้า
ชุดไฟหน้าที่เพรียวบาง: ไฟหน้า LED ดีไซน์เรียวเล็กผสานเข้ากับเส้นสายของกระจังหน้าอย่างลงตัว ไม่เพียงแต่ให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม แต่ยังเสริมให้ด้านหน้าดูดุดันและทันสมัย สอดรับกับช่องรับลมด้านล่างที่ออกแบบในสไตล์สปอร์ต
เส้นสายด้านข้างที่ลื่นไหล: การใช้หลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof) ที่กำลังเป็นที่นิยมในรถยนต์พรีเมียม ช่วยให้ตัวรถดูยาวและปราดเปรียว ไม่เทอะทะ แม้จะเป็นรถขนาดใหญ่ ผสมผสานกับการใช้มือจับประตูแบบซ่อน (Flush Door Handles) ที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความพรีเมียมและความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์
ดีไซน์ด้านท้ายที่ลงตัว: ด้านท้ายโดดเด่นด้วยชุดไฟท้ายแบบ LED ลากยาวตลอดความกว้างของตัวรถ ซึ่งเป็นเทรนด์การออกแบบที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในรถยนต์ยุคใหม่ ช่วยให้รถดูกว้างขวางและมีมิติ พร้อมท่อไอเสียคู่ที่ช่วยเสริมลุคสปอร์ตและสมรรถนะอันทรงพลัง
มิติตัวถังที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล: ด้วยความยาวตัวถัง 4,820 มม. และระยะฐานล้อ 2,820 มม. Chery Tiggo 9 PHEV จึงเป็น SUV ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูล Tiggo ณ ปัจจุบัน และใหญ่กว่า Tiggo 8 อย่างเห็นได้ชัด ขนาดที่ใหญ่ขึ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่แปลเป็นพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางเป็นพิเศษ รองรับการใช้งานแบบ 7 ที่นั่งได้อย่างสบาย ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญสำหรับตลาดประเทศไทยที่นิยมรถครอบครัวขนาดใหญ่
ห้องโดยสารอัจฉริยะ: ผสานความสบายและเทคโนโลยีแห่งอนาคต
ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยสารของ Chery Tiggo 9 PHEV ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผสมผสานความหรูหราคลาสสิกเข้ากับความล้ำสมัยของเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว นี่คืออีกหนึ่งจุดแข็งที่ Chery ตั้งใจยกระดับให้เทียบชั้นรถยุโรปพรีเมียม
การออกแบบและวัสดุ: การเลือกใช้โทนสีน้ำตาล-ขาว พร้อมการตกแต่งด้วยลายไม้และงานเดินด้ายสีทองตามจุดต่างๆ สะท้อนรสนิยมและความประณีต วัสดุที่ใช้เป็นเกรดพรีเมียม ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและทนทาน สร้างความรู้สึกอบอุ่นและโอ่โถง เหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกลของครอบครัว
หน้าจอคู่ดีไซน์โค้งสุดล้ำ: หัวใจหลักของห้องโดยสารคือหน้าจอคู่ดีไซน์โค้งขนาดใหญ่ ที่รวมเอาแผงมาตรวัดดิจิทัลและหน้าจออินโฟเทนเมนต์เข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน ให้ข้อมูลที่จำเป็นและระบบความบันเทิงครบครัน
ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8155: นี่คือสิ่งที่ทำให้ Tiggo 9 แตกต่าง ด้วยการใช้ชิประดับท็อปสำหรับยานยนต์อย่าง Snapdragon 8155 ที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G ส่งผลให้ระบบอินโฟเทนเมนต์และฟังก์ชันต่างๆ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล ไร้รอยต่อ รองรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากสำหรับการเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Connected Car) และการอัปเดตแบบ Over-The-Air (OTA) ในอนาคต ทำให้รถมีความพร้อมสำหรับนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้น
การควบคุมแบบมินิมอลลิสต์: รถคันนี้ลดจำนวนปุ่มควบคุมทางกายภาพลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเน้นการสั่งการผ่านหน้าจอสัมผัสและปุ่มแบบสัมผัสบนพวงมาลัยและหัวเกียร์ ซึ่งเป็นแนวทางที่รถยนต์ยุคใหม่หลายแบรนด์เลือกใช้ เพื่อสร้างความเรียบง่ายและความทันสมัย
ระบบปรับอากาศอัจฉริยะ: ช่องแอร์ทรงกลมที่มีมากถึง 27 ช่อง กระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง ไม่ว่าผู้โดยสารจะนั่งอยู่ที่ตำแหน่งใดในรถ ระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะยังช่วยให้การปรับอากาศเป็นไปอย่างแม่นยำและประหยัดพลังงาน
ระบบเสียง SONY 14 ตำแหน่ง: สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิง Tiggo 9 จัดเต็มด้วยระบบเสียงรอบทิศทางจาก SONY ลำโพง 14 ตำแหน่ง มอบประสบการณ์เสียงที่คมชัดและสมจริง เปรียบเสมือนการอยู่ในคอนเสิร์ตฮอลล์
ไฟ Ambient Light 255 สี: ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 255 สี ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเลือกบรรยากาศที่เหมาะสมกับอารมณ์หรือโอกาสต่างๆ ได้อย่างอิสระ เพิ่มความพิเศษและความเป็นส่วนตัวให้กับการเดินทาง
ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เหนือชั้น: หัวใจแห่งสมรรถนะ
ในตลาดประเทศไทย Chery Tiggo 9 จะมาในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เท่านั้น ซึ่งเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เพราะ PHEV ยังคงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง ลดมลพิษ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ยังคงมีความยืดหยุ่นในการเดินทางระยะไกล โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จ
เครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบชาร์จ: หัวใจของระบบ PHEV คือเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงทั้งในด้านพละกำลังและการประหยัดเชื้อเพลิง
ระบบ Kunpeng Super Intelligent Hybrid: Chery พัฒนาระบบไฮบริดอัจฉริยะ “Kunpeng Super Intelligent Hybrid” ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่เข้าด้วยกันอย่างราบรื่นและชาญฉลาด มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้แรงบิดแบบทันทีทันใด เสริมการออกตัวและการเร่งแซงให้มีประสิทธิภาพ
แบตเตอรี่ 19.43 kWh: แบตเตอรี่ขนาด 19.43 kWh. นี้ ให้ระยะทางในการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนที่น่าประทับใจ ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในชีวิตประจำวันได้อย่างมาก
พละกำลังรวมมหาศาล: เมื่อทำงานร่วมกัน ระบบส่งกำลังทั้งหมดให้พละกำลังรวมสูงสุดถึง 619 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลที่ 920 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่เทียบเท่ากับรถสปอร์ตสมรรถนะสูงบางรุ่น และมากกว่ารถ SUV ในเซกเมนต์เดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.5 วินาที: ด้วยพละกำลังดังกล่าว Chery Tiggo 9 PHEV สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 4.5 วินาที ซึ่งถือเป็นอัตราเร่งที่น่าทึ่งสำหรับรถ SUV ขนาดใหญ่ และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
ระยะทางวิ่งสูงสุดประมาณ 1,200 กิโลเมตร: จากการทดสอบขับจริง พบว่าสามารถวิ่งได้ไกลถึงประมาณ 1,200 กิโลเมตร (เคลมไว้ที่ 1,300 กิโลเมตร) ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้โดยไม่ต้องแวะเติมน้ำมันหรือชาร์จไฟบ่อยครั้ง ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางไกลของครอบครัว
รองรับการชาร์จเร็ว: ระบบรองรับการชาร์จเร็ว (Fast Charging) โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 30-80% ได้ในเวลาเพียง 18 นาที ทำให้การเติมพลังงานเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ไม่เสียเวลาในการเดินทาง
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและเกียร์ Aisin 8 สปีด: ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ (Intelligent AWD) ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ Aisin 8 สปีด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน การควบคุมรถ และการเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่น ไม่ว่าจะขับขี่บนสภาพถนนแบบใด
ช่วงล่างอัจฉริยะ CDC: ความนุ่มนวลที่ควบคุมได้และการทรงตัวที่เหนือกว่า
นอกเหนือจากขุมพลังที่ทรงประสิทธิภาพ Chery Tiggo 9 PHEV ยังโดดเด่นด้วยระบบช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบความสบายและความมั่นคงในการขับขี่สูงสุด นั่นคือระบบ CDC (Continuous Damping Control)
หลักการทำงานของ CDC: CDC เป็นระบบช่วงล่างไฟฟ้าที่สามารถปรับความแข็ง-อ่อนของโช้คอัพได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำแบบ Real-time โดยมีการประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ (เช่น ความเร็วรถ, การหักเลี้ยว, สภาพพื้นผิวถนน) กว่า 1,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้โช้คอัพสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมที่สุด
ประโยชน์ที่สัมผัสได้:
เพิ่มความนุ่มนวลขึ้น 74.8%: ผู้โดยสารจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอกับพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ ลูกระนาด หรือหลุมบ่อในเมือง
ลดอาการโคลงของตัวรถลงกว่า 50%: ระบบ CDC ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวถัง ลดอาการโคลงเคลงเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือเมื่อต้องเปลี่ยนเลนกะทันหัน ส่งผลให้การทรงตัวของรถดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และลดอาการเมารถของผู้โดยสาร
เพิ่มความเงียบและยึดเกาะถนนขึ้นกว่าเดิม 30%: การทำงานที่ชาญฉลาดของ CDC ยังช่วยลดเสียงรบกวนที่มาจากช่วงล่าง และเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ทำให้การขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้นและปลอดภัยขึ้น
ประสบการณ์การขับขี่แบบ “พรมวิเศษ”: Chery เคลมว่าระบบช่วงล่างนี้มอบความรู้สึกนุ่มนวลราวกับนั่งอยู่บนพรม แต่ยังคงความหนึบแน่นที่สามารถสั่งการได้เมื่อต้องการ ทำให้ Tiggo 9 มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การขับขี่และสภาพถนนที่หลากหลายได้อย่างลงตัว
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) และมาตรฐานความปลอดภัย
ในฐานะรถยนต์เรือธงแห่งปี 2025 Chery Tiggo 9 PHEV ย่อมต้องมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ที่ครบครัน เพื่อมอบความอุ่นใจสูงสุดให้แก่ผู้ใช้งาน แม้ข้อมูลจำเพาะจะยังไม่ถูกเปิดเผยทั้งหมด แต่เราสามารถคาดการณ์ได้จากมาตรฐานของรถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบัน:
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ (Adaptive Cruise Control – ACC): ช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist – LKA) และระบบเตือนการออกนอกเลน (Lane Departure Warning – LDW): ช่วยลดความเสี่ยงจากการหลับในหรือเสียสมาธิ
ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Monitoring – BSM): ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเปลี่ยนเลน
ระบบเตือนการชนด้านหน้าและระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Forward Collision Warning – FCW & Automatic Emergency Braking – AEB): ช่วยลดความรุนแรงหรือหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา: เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการจอดรถหรือขับขี่ในที่แคบ
ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ: อำนวยความสะดวกในการจอดรถ
ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: ปกป้องผู้โดยสารจากการชน
โครงสร้างตัวถังนิรภัย: ออกแบบมาเพื่อดูดซับแรงกระแทกและปกป้องห้องโดยสาร
Chery Tiggo 9 PHEV ในสมรภูมิ SUV ไทย: การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์
การมาถึงของ Chery Tiggo 9 PHEV ในตลาดประเทศไทยช่วงปลายปี 2026 จะสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในเซกเมนต์ D-SUV อย่างแน่นอน
คู่แข่งในตลาด: รถคันนี้จะเข้าแข่งขันโดยตรงกับผู้นำตลาดในปัจจุบัน เช่น Honda CR-V, Mazda CX-8, Nissan Kicks e-POWER รวมถึงกลุ่ม SUV พรีเมียมอื่นๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน Chery ไม่ได้มองแค่การแข่งขันด้านราคา แต่เป็นการแข่งขันด้านคุณค่า (Value Proposition)
จุดแข็งในการแข่งขัน:
สมรรถนะและเทคโนโลยี PHEV: ด้วยกำลัง 619 แรงม้า และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.5 วินาที ทำให้ Tiggo 9 เหนือกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ในด้านสมรรถนะ ขณะที่เทคโนโลยี PHEV ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเข้ากับนโยบายของประเทศ
ความหรูหราและขนาด: ดีไซน์ที่เทียบชั้นรถยุโรป, ภายในที่กว้างขวางระดับ 7 ที่นั่ง และวัสดุพรีเมียม จะดึงดูดผู้บริโภคที่มองหารถ SUV ที่ให้ความรู้สึกเหนือกว่า
นวัตกรรมเทคโนโลยี: ชิป Snapdragon 8155 และ 5G เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับระบบเชื่อมต่อและความฉลาดของรถยนต์
ระบบช่วงล่าง CDC: มอบความสบายในการขับขี่ที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับถนนในประเทศไทย
ความท้าทายสำหรับ Chery:
การสร้างแบรนด์และการรับรู้: แม้ Chery จะเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่การสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ระดับพรีเมียมในระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ
เครือข่ายบริการหลังการขาย: การขยายศูนย์บริการ การจัดหาอะไหล่ และคุณภาพของบริการหลังการขาย จะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในระยะยาว และเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ราคาที่เหมาะสม: แม้จะมีคุณสมบัติระดับพรีเมียม แต่การกำหนดราคาที่แข่งขันได้และดึงดูดใจ จะเป็นกุญแจสำคัญในการเจาะตลาด
บทสรุป: ก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่ของ Chery
Chery Tiggo 9 PHEV ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของ Chery ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดโลก ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย สมรรถนะที่น่าประทับใจ การออกแบบที่หรูหรา และความใส่ใจในรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน รถคันนี้พร้อมแล้วที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถ SUV ในเซกเมนต์นี้ และตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวยุคใหม่ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบครัน
สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ SUV ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมเทคโนโลยีแห่งอนาคตและขุมพลังที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Chery Tiggo 9 PHEV คือตัวเลือกที่น่าจับตาอย่างยิ่ง การมาถึงของเขาในประเทศไทยช่วงปลายปี 2026 จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่สำคัญว่าแบรนด์รถยนต์จากจีนไม่ได้มีดีแค่ราคา แต่ยังมาพร้อมคุณภาพ สมรรถนะ และนวัตกรรมที่พร้อมจะแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว และเป็นก้าวสำคัญที่ Chery จะตอกย้ำตำแหน่งของตัวเองในฐานะผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกอย่างแท้จริง

