Ferrari F80: เมื่อตำนานบทใหม่ถือกำเนิดในยุคไฮบริด กำลัง 1,200 แรงม้า สู่ความเร้าใจระดับ Formula 1 บนท้องถนน
ในปี 2025 นี้ โลกยานยนต์ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูง ที่เทคโนโลยีไฮบริดได้เข้ามาพลิกโฉมหน้าของ “ความแรง” และ “ประสิทธิภาพ” อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่มีใครทำได้ดีไปกว่า Ferrari ที่นำเสนอสุดยอดผลงานชิ้นเอกล่าสุด นั่นคือ Ferrari F80 ยนตรกรรมที่ผสมผสานจิตวิญญาณแห่งสนามแข่งเข้ากับความล้ำสมัยทางวิศวกรรมได้อย่างไร้ที่ติ และถูกขนานนามว่าเป็นซูเปอร์คาร์ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของรถยนต์ Road Car ที่ออกจากโรงงาน Ferrari
F80 ไม่ใช่แค่รถยนต์คันใหม่ แต่มันคือสัญลักษณ์ของวิวัฒนาการ มันคือจุดเชื่อมโยงระหว่างมรดกอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์ม้าลำพองกับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานทางเลือก ด้วยการผลิตจำนวนจำกัดเพียง 799 คันทั่วโลก และโควต้าสำหรับประเทศไทยเพียง 4 คัน ซึ่งทั้งหมดได้ถูกจับจองเป็นเจ้าของไปเรียบร้อยแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของนักสะสมและผู้ที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบที่เหนือระดับ
F80: มรดกแห่งความแรงที่สานต่อจากตำนาน
Ferrari มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการสร้างสรรค์ “Halo Car” หรือรถยนต์เรือธงที่ผลักดันขีดจำกัดทางวิศวกรรมและสมรรถนะในแต่ละยุคสมัย นับตั้งแต่ GTO ในปี 1984, F40, F50, Enzo ไปจนถึง LaFerrari Aperta ในปี 2016 แต่ละรุ่นล้วนเป็นบทบันทึกสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความกล้าหาญของ Ferrari ในการนำเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาสู่ท้องถนน และ F80 ก็คือทายาทคนล่าสุดที่แบกรับภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้บนบ่า
หัวใจสำคัญที่หล่อหลอมให้ F80 กลายเป็นสุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งยุค 2025 คือการนำเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชันล่าสุดมาผสานรวมเข้ากับโครงสร้างแชสซีส์คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา แอโรไดนามิกที่ซับซ้อน และช่วงล่างแบบแอคทีฟที่ไม่เคยปรากฏในรถยนต์ Road Car รุ่นใดมาก่อน ผลลัพธ์ที่ได้คือสมรรถนะการขับขี่ที่ทั้งดุดันและควบคุมได้ง่ายดาย มอบประสบการณ์ที่ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักรชั้นเลิศ
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ F80 สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดคือการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบอันเป็นเอกลักษณ์ในยุค 80s มาสู่ขุมพลัง V6 เทอร์โบไฮบริดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง Formula 1 และ World Endurance Championship (WEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถแข่ง 499P ที่คว้าชัยชนะในรายการ 24 Hours of Le Mans ได้ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน นี่คือหลักฐานที่ยืนยันว่า Ferrari ไม่เคยหยุดนิ่งในการนำเอาองค์ความรู้และนวัตกรรมล่าสุดจากสนามแข่ง มาปรับใช้และพัฒนาเพื่อยกระดับขีดความสามารถของยนตรกรรมบนท้องถนนอย่างแท้จริง
สุนทรียภาพแห่งความเร็ว: การออกแบบภายนอกที่ไร้ที่ติ
การออกแบบของ Ferrari F80 คือผลงานชิ้นเอกที่สร้างสรรค์โดยทีม Ferrari Styling Centre ภายใต้การนำของ Flavio Manzoni ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจปรัชญาของ Ferrari อย่างลึกซึ้ง การออกแบบ F80 ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างสรรค์รูปทรงที่สวยงาม แต่เป็นการหลอมรวมอดีตและอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน โดยมี DNA ของแบรนด์และสุนทรียศาสตร์ของรถแข่ง Formula 1 เป็นแกนหลัก
แม้จะเป็นรถยนต์แบบ 2 ที่นั่ง แต่ F80 ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงประสบการณ์แบบรถที่นั่งเดี่ยวได้อย่างเต็มพิกัด ทุกเส้นสาย ทุกส่วนโค้งเว้า ล้วนผ่านการคำนวณตามหลักอากาศพลศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและสมรรถนะที่เหนือชั้น ตั้งแต่ปลายจมูกจรดส่วนท้าย ทุกองค์ประกอบทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว
ไฟหน้าอันเป็นเอกลักษณ์: F80 มาพร้อมการออกแบบไฟหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้แผ่นบังสีดำที่เรียบหรู ซึ่งไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นไฟส่องสว่างเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบแอโรไดนามิก ช่วยลดแรงต้านอากาศ ทำให้ F80 มีรูปโฉมที่ทันสมัยและไม่เหมือนใคร สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
ส่วนท้ายที่พลิกผัน: ดีไซน์ส่วนท้ายของ F80 นั้นสั้นกะทัดรัด แต่เต็มไปด้วยฟังก์ชันการใช้งาน ด้วยปีกหลังที่สามารถเก็บซ่อนและยกตัวขึ้นได้ตามความเร็วและโหมดการขับขี่ ไฟท้ายติดตั้งอยู่ในโครงสร้างแบบสองชั้น ประกอบด้วยแผงไฟท้ายและสปอยเลอร์ สร้างเอฟเฟกต์แบบประกบที่ช่วยให้มุมมองด้านท้ายดูโฉบเฉี่ยวไม่ว่าปีกหลังจะอยู่ในตำแหน่งใด เมื่อสปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้น รถจะดูมีพลังและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น การจัดวางองค์ประกอบเหล่านี้สร้างความสมดุลทางสายตาที่เผยให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของตัวรถ ที่ผสานฟังก์ชันและรูปแบบเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
แอโรไดนามิกอัจฉริยะ: ช่องดักลมแบบ NACA ที่โดดเด่นไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ทางดีไซน์ แต่ยังทำหน้าที่สำคัญในการส่งกระแสลมไปยังช่องรับอากาศของเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการออกแบบที่คำนึงถึงทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย
ครีบระบายอากาศด้านท้าย: องค์ประกอบที่มีอัตลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือครีบระบายอากาศ 6 ช่องที่ส่วนหลังของห้องเครื่อง ซึ่งถูกจัดวางให้สอดคล้องกับแต่ละกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน สร้างความสัมพันธ์ที่น่าทึ่งระหว่างเส้นสายรูปทรงเรขาคณิตกับพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถังรถยนต์ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดของ Ferrari
ห้องโดยสารที่รังสรรค์เพื่อผู้ขับขี่: วิศวกรรมภายในที่เหนือระดับ
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ Ferrari F80 ผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงปรัชญาการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งแบบที่นั่งเดี่ยว ค็อกพิตถูกออกแบบให้โอบล้อมแผงควบคุมและมาตรวัดต่างๆ ไว้ในแนวเดียวกับผู้ขับขี่ สร้างบรรยากาศที่คล้ายกับรถแข่ง Formula 1 แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แม้จะมีหลังคาปิดกั้น ห้องโดยสารขนาดกะทัดรัดนี้ก็ยังคงหลักสรีรศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบ
การจัดวางตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารทั้ง 2 คนเป็นแบบเยื้องกันในแนวยาว ทำให้เบาะผู้โดยสารสามารถปรับถอยหลังได้มากกว่าเบาะผู้ขับขี่ ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่และความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารโดยไม่ส่งผลกระทบต่อหลักสรีรศาสตร์ และยังช่วยให้ดีไซเนอร์สามารถลดหน้าตัดด้านหน้าของรถได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงแอโรไดนามิกโดยรวม
พวงมาลัยแห่งอนาคต: F80 มาพร้อมกับพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ขนาดวงพวงมาลัยที่เล็กกว่าปกติเล็กน้อย มีส่วนบนและล่างที่ตัดตรง ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นมาตรวัดได้อย่างชัดเจนและเน้นความรู้สึกสปอร์ต พวงมาลัยได้รับการปรับปรุงด้านข้างให้จับได้แน่นขึ้น ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม
การกลับมาของปุ่มควบคุมแบบสัมผัส: จุดเด่นที่น่าสนใจคือการนำปุ่มควบคุมบนก้านพวงมาลัยด้านขวาและซ้ายกลับมาใช้อีกครั้ง แทนที่เลย์เอาต์แบบดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมดที่ Ferrari ใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Ferrari ในการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แท้จริงและเป็นธรรมชาติ ปุ่มกดแบบดั้งเดิมใช้งานง่ายกว่าและสามารถระบุฟังก์ชันได้ทันทีด้วยการสัมผัส ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและไม่เสียสมาธิ
หัวใจไฮบริด V6: ขุมพลัง 1,200 แรงม้าที่ไร้เทียมทาน
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Ferrari F80 เป็นซูเปอร์คาร์ที่ก้าวล้ำยุคคือขุมพลังเครื่องยนต์ V6 สันดาปภายใน ขนาด 3.0 ลิตร รหัส F163CF ซึ่งสร้างพละกำลังสูงสุดถึง 900 แรงม้า ด้วยอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Ferrari (300 แรงม้า/ลิตร) นี่ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์ธรรมดา แต่เป็นผลงานวิศวกรรมที่ถอดแบบโครงสร้างและองค์ประกอบหลายอย่างมาจากรถแข่ง 499P ผู้พิชิต Le Mans เช่น เสื้อสูบ, เลย์เอาต์, ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทมิ่ง, วงจรทางเดินน้ำมันเครื่อง, ประกับข้อเหวี่ยง, หัวฉีด และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น
นอกจากนี้ F80 ยังเป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่มีระบบควบคุมการชิงจุดระเบิดแบบใหม่ (Anti-Knock Control System) ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด ส่งผลให้สามารถใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมถึง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB ซึ่งช่วยปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ได้อย่างสูงสุด และเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิงได้อย่างน่าทึ่ง
เทคโนโลยีไฮบริดจาก Formula 1: F80 นำเอาเทคโนโลยี MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic) และ MGU-Hs (Motor Generator Unit – Heat) มาใช้ โดย MGU-K ได้รับการพัฒนาจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari ส่วน MGU-Hs สร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์จากก๊าซไอเสีย เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานร่วมกับชุดเทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo) ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำหนดจังหวะการทำงานของเทอร์โบ ช่วยปรับอากาศเข้าได้อย่างเหมาะสมที่สุด สิ่งนี้ช่วยขจัดปัญหา Turbo Lag ที่มักเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์เทอร์โบแบบดั้งเดิม ทำให้การตอบสนองของเครื่องยนต์รวดเร็วทันใจในทุกรอบความเร็ว
มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง: มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ทั้งหมด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลัง) ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงาน Ferrari ในมาราเนลโล โดยมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มสมรรถนะสูงสุดและลดน้ำหนักลง การออกแบบมอเตอร์ทั้งหมดอิงจากประสบการณ์ตรงของ Ferrari ในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเตเตอร์และโรเตอร์ที่ใช้แม่เหล็ก Halbach (Halbach Array) และปลอกแม่เหล็กทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการออกแบบชุด MGU-K ของรถแข่ง Formula 1 เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มพละกำลังได้อีก 300 แรงม้า เมื่อรวมกับกำลังจากเครื่องยนต์สันดาป ทำให้ F80 มีพละกำลังรวมสูงสุดถึง 1,200 แรงม้าอย่างน่าทึ่ง
ระบบส่งกำลังและช่วงล่าง: เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำที่สุด เครื่องยนต์ถูกติดตั้งให้ใกล้กับใต้ท้องรถมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ชุดเกียร์ถูกยกขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุดแอโรไดนามิกใต้ท้องรถ ระบบกันสะเทือนติดตั้งสปริง 2 ชุด ช่วยลดความแข็งของระบบโดยรวมและช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมาจากระบบส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แดมเปอร์กันสะบัดยังถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อลดความสั่นสะเทือนจากการบิดตัวของระบบขับเคลื่อนและรองรับโหลดที่สูงขึ้นจากพละกำลังที่มหาศาล
ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น: เมื่อสนามแข่งมาอยู่บนท้องถนน
การขับขี่ Ferrari F80 ไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุด A ไปจุด B แต่เป็นการดำดิ่งสู่ห้วงแห่งอารมณ์ความรู้สึกและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า F80 มอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการผสมผสานความโหดดิบของรถแข่งเข้ากับความประณีตของยนตรกรรมหรูหรา ผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงการตอบสนองที่ฉับไวของเครื่องยนต์ V6 ไฮบริด การถ่ายทอดกำลัง 1,200 แรงม้า ลงสู่พื้นผิวถนนอย่างราบรื่นและแม่นยำ ด้วยระบบขับเคลื่อน 4WD ที่ชาญฉลาด
อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.15 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 5.75 วินาที คือตัวเลขที่บอกเล่าถึงความสามารถอันเหลือเชื่อของ F80 แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือความรู้สึกที่ได้จากการควบคุมมัน ความแม่นยำของพวงมาลัย การยึดเกาะถนนที่มั่นคงจากช่วงล่างน้องๆ Formula 1 และประสิทธิภาพการเบรกที่ยอดเยี่ยม ล้วนสร้างความมั่นใจให้ผู้ขับขี่สามารถดึงสมรรถนะสูงสุดออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนสนามแข่งหรือถนนสาธารณะ
F80 ยังคงรักษาเอกลักษณ์เสียงเครื่องยนต์อันเป็นเสน่ห์ของ Ferrari ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะเปลี่ยนมาใช้ขุมพลัง V6 ไฮบริด เสียงคำรามที่กึกก้องและการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าสร้างประสบการณ์ทางโสตสัมผัสที่เร้าใจไม่แพ้รุ่นพี่ V8 หรือ V12 สะท้อนถึงความใส่ใจของ Ferrari ในการรักษา “จิตวิญญาณ” ของแบรนด์ไว้ในทุกรายละเอียด
ข้อมูลทางเทคนิค Ferrari F80: ความสมบูรณ์แบบที่วัดค่าได้
เครื่องยนต์:
ประเภท: V6 ทำมุม 120 องศา Dry Sump
ความจุกระบอกสูบ: 2,992 ซีซี
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 9,000 รอบ/นาที (จำกัดการทำงานสูงสุดที่ 9,200 รอบ/นาที)
ระบบขับเคลื่อนไฮบริด: สเตเตอร์แบบ Concentrated Winding, สายไฟแบบ Litz, สเตเตอร์และโรเตอร์ติดตั้งในชุดแม่เหล็ก Halbach Array
สมรรถนะ:
ระบบส่งกำลังและเกียร์: 8 จังหวะ คลัตช์คู่ F1 DCT
ความเร็วสูงสุด: 350 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลัง (MGU-K):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด: การกู้คืนขณะเบรก: 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า); ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์: 60 กิโลวัตต์ (81 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: 45 นิวตันเมตร
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 8.8 กก.
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า (แต่ละตัว):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด: 105 กิโลวัตต์ (142 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: 121 Nm
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 12.9 กก.
แบตเตอรี่แรงดันสูง:
แรงดันสูงสุด: 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (charge/discharge): 242 กิโลวัตต์
พลังงานไฟฟ้า: 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ค่ากระแสที่กำลังไฟสูงสุด: 350 แอมป์
การให้พลังไฟฟ้า: 6.16 กิโลวัตต์/กก.
น้ำหนัก: 39.3 กก.
มิติและน้ำหนัก:
ความยาว: 4,840 มม.
ความกว้าง: 2,060 มม.
ความสูง (ในสภาพน้ำหนักรถพร้อมวิ่งได้): 1,138 มม.
ความยาวฐานล้อ: 2,665 มม.
ความกว้างฐานล้อหน้า: 1,701 มม.
ความกว้างฐานล้อหลัง: 1,660 มม.
น้ำหนักรถเปล่า: 1,525 กก.
อัตราส่วนน้ำหนักรถเปล่า/กำลัง: 1.27 กก./แรงม้า
ความจุถังน้ำมัน: 63.5 ลิตร
ความจุห้องเก็บสัมภาระ: 35 ลิตร
ล้อหน้า: 285/30 R20
ล้อหลัง: 345/30 R21
Ferrari F80: นิยามใหม่แห่งอนาคตของซูเปอร์คาร์
Ferrari F80 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดหรือทรงพลังที่สุดในยุคของมัน แต่มันคือปฐมบทแห่งการออกแบบและวิศวกรรมยุคใหม่ของ Ferrari ด้วยภาษาการออกแบบที่เร้าอารมณ์ขั้นสุด สะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การนำดีไซน์จากยานอวกาศมาใช้เพื่อเน้นย้ำถึงเทคโนโลยีสุดไฮเทคและเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า ขณะเดียวกันก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานไว้ในสายเลือดเช่นเดิม
ในโลกที่กำลังมุ่งสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว Ferrari F80 ได้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีไฮบริดยังคงมีบทบาทสำคัญในการมอบสมรรถนะอันไร้ขีดจำกัดและความเร้าใจในการขับขี่ที่หาใดเทียบได้ มันคือการลงทุนในรถยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า ไม่ใช่แค่ในแง่ของราคาซูเปอร์คาร์ที่สูงลิบ แต่เป็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์และทางเทคนิคที่รถยนต์รุ่นนี้ได้สร้างไว้ F80 คือบทพิสูจน์ว่า Ferrari ยังคงเป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางของยนตรกรรมสมรรถนะสูง และพร้อมที่จะพาผู้หลงใหลในความเร็วไปสัมผัสกับอนาคตที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม

