เฟอร์รารี่ F80: พลิกโฉมวงการซูเปอร์คาร์ด้วยขุมพลังไฮบริด 1,200 แรงม้า และ DNA จากสนามแข่ง
ในโลกแห่งยนตรกรรมสมรรถนะสูง มีเพียงไม่กี่ชื่อที่สามารถตรึงใจผู้คนได้อย่างยาวนานและเปี่ยมด้วยมนต์ขลังเทียบเท่า Ferrari และทุกครั้งที่ Maranello เผยโฉม Special Series รุ่นใหม่ โลกก็ต้องหยุดนิ่งเพื่อจับจ้องการมาถึงของตำนานบทต่อไป ในปี 2025 นี้ Ferrari F80 ได้ก้าวเข้ามาสวมบทบาทนั้นอย่างสง่างาม ไม่ใช่แค่ในฐานะซูเปอร์คาร์คันใหม่ แต่คือการประกาศศักราชใหม่แห่งเทคโนโลยีและปรัชญาการออกแบบ ที่ผสานมรดกอันยิ่งใหญ่เข้ากับวิสัยทัศน์แห่งอนาคตอย่างไร้รอยต่อ ด้วยพละกำลังรวม 1,200 แรงม้า จากระบบขับเคลื่อน V6-Hybrid ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4WD และช่วงล่างที่ถอดแบบมาจาก Formula 1 F80 ไม่เพียงแต่เป็น Road Car ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Ferrari เท่านั้น แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นอันไม่หยุดยั้งในการผลักดันขีดจำกัดของวิศวกรรมยานยนต์
Ferrari F80 ถูกจัดให้เป็นสมาชิกอันทรงเกียรติในตระกูลซูเปอร์คาร์รุ่นพิเศษ ซึ่งเคยสร้างชื่อเสียงโด่งดังมาแล้วนับตั้งแต่ Ferrari GTO ปี 1984, F40, F50, Enzo ไปจนถึง LaFerrari Aperta ปี 2016 ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนเป็นมาสเตอร์พีซที่สะท้อนถึงจุดสูงสุดของเทคโนโลยีในยุคสมัยนั้น สำหรับ F80 เองก็เช่นกัน มันคือการนำเอาองค์ความรู้และนวัตกรรมขั้นสูงที่สุดของ Ferrari มารวมไว้ในรถยนต์คันเดียว ส่งผลให้เกิดมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านนวัตกรรม สมรรถนะ และความเป็นเลิศทางวิศวกรรม ที่ยากจะหาใครเทียบเคียง ด้วยจำนวนการผลิตที่จำกัดเพียง 799 คันทั่วโลก และโควต้าสำหรับประเทศไทยเพียง 4 คัน ซึ่ง Sold Out ไปอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของนักสะสมและผู้หลงใหลในยนตรกรรมระดับโลก ที่ต้องการครอบครองชิ้นส่วนแห่งประวัติศาสตร์ที่ขับเคลื่อนได้นี้ F80 จึงไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่คือผลงานศิลปะที่เคลื่อนไหวได้ ซึ่งจะถูกจารึกไว้ในฐานะไอคอนแห่งยุคสมัยอย่างไม่ต้องสงสัย
ตำนานที่ถูกสานต่อ: มรดกแห่งความแรงจากสนามแข่งสู่ถนนหลวง
การเดินทางของ Ferrari ในการสร้างสรรค์ซูเปอร์คาร์ได้ทิ้งร่องรอยแห่งนวัตกรรมไว้มากมาย ตลอดระยะเวลานับสิบปี Ferrari ได้ทยอยเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นพิเศษที่ล้ำสมัยและได้รับการยกย่องจนกลายเป็นตำนาน F80 คือทายาทล่าสุดที่รับไม้ต่อจากบรรพบุรุษอันทรงเกียรติเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านแหล่งพลังงานและปรัชญาการออกแบบที่ได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากรถแข่งสนาม
หากย้อนกลับไปในยุค 1980s เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคือหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนรถแข่ง Formula 1 และซูเปอร์คาร์อย่าง F40 ให้ทะยานไปข้างหน้า แต่โลกแห่งมอเตอร์สปอร์ตได้วิวัฒนาการไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในปัจจุบัน ทั้งรถแข่ง Formula 1 และรถแข่ง World Endurance Championship (WEC) รวมถึงรุ่น 499P ที่คว้าชัยชนะในรายการ 24 Hours of Le Mans ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ต่างก็หันมาใช้เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดแบบ 800 โวลต์ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเท่านั้น แต่ยังปลดล็อกศักยภาพด้านสมรรถนะ ประสิทธิภาพ และการควบคุมที่เหนือชั้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นวัตกรรมอันเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จในสนามแข่งเหล่านี้ จะถูกถ่ายทอดมาสู่ F80 ซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุด ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชั่นล่าสุด เพื่อรีดเค้นสมรรถนะทั้งแรงม้า แรงบิด โครงสร้างแชสซีส์คาร์บอนไฟเบอร์ที่แข็งแกร่ง น้ำหนักเบา แอโรไดนามิกที่ซับซ้อน และช่วงล่างแบบแอคทีฟ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนใน Road Car ของ Ferrari การผสมผสานที่ลงตัวนี้ทำให้ F80 สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น ประหนึ่งคุณกำลังบังคับรถแข่งในชีวิตประจำวัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายตามแบบฉบับรถยนต์ใช้งานบนถนน
ราคา Ferrari F80 ในตลาดโลกและตลาดรอง (เมื่อมี) ย่อมสะท้อนถึงความพิเศษและจำนวนจำกัดของมัน ที่ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องจักรแห่งความเร็ว แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในการสะสม Ferrari F80 มือสอง จึงเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่น่าจับตามองในอนาคตอันใกล้ สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของรถใหม่
การออกแบบที่หลอมรวมอดีตและอนาคต: ศิลปะแห่งความเร็ว
การสร้างสรรค์ภายนอกของ Ferrari F80 เป็นผลงานชิ้นเอกจากทีม Ferrari Styling Centre นำทัพโดย Flavio Manzoni ผู้มีวิสัยทัศน์ในการเชื่อมโยงดีไซน์ในอดีตและอนาคตของ Ferrari เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์และ DNA อันเป็นที่รู้จักของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน การออกแบบของ F80 มุ่งเน้นไปที่สุนทรียศาสตร์ของรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari เป็นอันดับแรก ซึ่งเห็นได้จากเส้นสายที่เฉียบคมและรูปทรงที่เน้นหลักอากาศพลศาสตร์ แม้ว่า F80 จะเป็นรถยนต์แบบ 2 ที่นั่ง แต่ก็ได้รับการออกแบบให้มอบประสบการณ์การขับขี่แบบรถที่นั่งเดี่ยวได้อย่างเต็มพิกัด ทุกส่วนโค้งเว้าและทุกองค์ประกอบของตัวรถถูกคำนวณมาอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถคันนี้จะไร้ที่ติ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ การออกแบบ Ferrari F80 โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ส่วนหน้าของ F80 โดดเด่นด้วยไฟหน้าที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้แผ่นบังสีดำ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นแถบไฟส่องสว่างเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมคุณสมบัติ แอโรไดนามิก Ferrari ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ F80 มีรูปโฉมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและดุดัน ขณะที่ส่วนท้ายของรถที่สั้นกะทัดรัดนั้น มอบมุมมองที่แตกต่างกันสองรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ด้วยปีกหลังที่สามารถเก็บซ่อนและยกตัวขึ้นได้ ทำให้รถมีภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้ขับขี่ เมื่อปีกหลังยกตัวขึ้น รถจะดูมีพลังและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ไฟท้ายถูกติดตั้งอยู่ในโครงสร้างแบบสองชั้น ซึ่งประกอบไปด้วยแผงไฟท้ายและสปอยเลอร์ สร้างเอฟเฟกต์แบบประกบที่ส่งให้มุมมองด้านท้ายดูโฉบเฉี่ยวสุดขั้ว ไม่ว่าปีกหลังจะเก็บหรือยกตัวขึ้น ความแตกต่างของสมดุลทางสายตาระหว่างโครงสร้างทั้งสองนี้ เผยให้เห็นอีกด้านหนึ่งของตัวรถ ที่พร้อมจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ที่จำเป็นของรถ ได้รับการแก้ไขด้วยการออกแบบอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างการสื่อสารที่สมบูรณ์แบบระหว่างสมรรถนะและรูปแบบ คุณสมบัติของฟังก์ชันเหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการกำหนดลักษณะรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ช่องแบบ NACA ที่ส่งกระแสลมไปยังช่องรับอากาศของเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้าง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่ที่สุดของด้านข้างอีกด้วย นอกจากนี้ อีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีอัตลักษณ์สำคัญอย่างมากคือครีบระบายอากาศที่ส่วนหลังของห้องเครื่อง ซึ่งมีช่องทั้งหมด 6 ช่อง สำหรับแต่ละกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน สร้างความสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดระหว่างเส้นสายของรูปทรงเรขาคณิตและพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถังรถ F80 คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของปรัชญา Ferrari ที่ว่า “Form follows function” ซึ่งหมายถึงรูปลักษณ์ที่สวยงามจะต้องสอดคล้องกับประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดเสมอ
ห้องโดยสาร: ศูนย์บัญชาการแห่งความเร็วที่เน้นผู้ขับขี่
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ Ferrari F80 คุณจะสัมผัสได้ถึงสุนทรียภาพที่แตกต่างออกไป สัดส่วนของห้องโดยสารได้รับแรงบันดาลใจอย่างชัดเจนจากค็อกพิตของรถแข่งแบบที่นั่งเดี่ยว คล้ายกับภาพลักษณ์ของรถแข่ง Formula 1 แต่มีหลังคาปิด ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องจักร ห้องโดยสารถูกออกแบบมาเพื่อโอบล้อมแผงควบคุมและมาตรวัดต่างๆ ซึ่งจัดวางอยู่ในแนวเดียวกับผู้ขับขขี่อย่างสมบูรณ์แบบ ตามหลักสรีรศาสตร์ที่แม่นยำที่สุด ตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารทั้ง 2 คน ถูกปรับให้เยื้องกันในแนวยาว ทำให้สามารถปรับเบาะผู้โดยสารให้ถอยหลังได้มากกว่าเบาะผู้ขับขี่ วิธีนี้ช่วยให้ ภายในห้องโดยสาร Ferrari มีพื้นที่ที่กะทัดรัดโดยไม่กระทบต่อหลักสรีรศาสตร์และสัมผัสแห่งความสะดวกสบาย นักออกแบบจึงสามารถสร้างสรรค์ห้องโดยสารที่เหมาะสมและลดหน้าตัดด้านหน้าของรถลงได้อีกด้วย ซึ่งส่งผลดีต่อหลักอากาศพลศาสตร์โดยรวม
F80 ยังมาพร้อมกับพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ และคาดว่าจะถูกนำไปใช้ใน Road Car รุ่นอื่นๆ ของ Ferrari ต่อไปในอนาคต วงพวงมาลัยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย มีส่วนบนและล่างที่ตัดตรง ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นมาตรวัดได้อย่างชัดเจนและเน้นความรู้สึกสปอร์ตเมื่อขับขี่ ด้านข้างของพวงมาลัยได้รับการปรับให้จับได้แน่นขึ้น ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ ปุ่มควบคุมบนก้านพวงมาลัยด้านขวาและซ้ายถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง แทนที่เลย์เอาต์แบบดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมดที่ Ferrari ใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของ Ferrari ว่าบางครั้ง การควบคุมด้วยปุ่มกดแบบดั้งเดิมนั้นใช้งานง่ายกว่า และสามารถระบุฟังก์ชันได้ทันทีด้วยการสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ที่ทุกเสี้ยววินาทีของการตอบสนองมีความหมาย นี่คือการผสานความทันสมัยเข้ากับความคลาสสิก เพื่อมอบ ประสบการณ์ขับขี่ Ferrari ที่เหนือชั้นและไร้ที่ติอย่างแท้จริง
หัวใจไฮบริด V6 3.0 ลิตร: ขุมพลังที่ไร้ขีดจำกัดจากนวัตกรรมมอเตอร์สปอร์ต
หัวใจของ Ferrari F80 คือเครื่องยนต์สันดาปภายใน V6 ขนาดความจุ 3.0 ลิตร รหัส F163CF ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งวิศวกรรม ด้วยพละกำลังสูงสุดที่ 900 แรงม้า ถือเป็นเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Ferrari ที่ 300 แรงม้าต่อลิตร ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่เป็นการถอดแบบโครงสร้างและองค์ประกอบหลากหลายส่วนมาจากรถแข่ง Ferrari 499P ผู้พิชิต Le Mans อาทิ เสื้อสูบ, เลย์เอาต์, ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทมิ่ง, วงจรทางเดินน้ำมันเครื่องไหลกลับเข้าปั๊ม, ประกับข้อเหวี่ยง, หัวฉีด และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น นอกจากนี้ยังมีการยกระดับระบบวาล์วแปรผันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
F80 ยังเป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ซึ่งมีระบบควบคุมการชิงจุดระเบิดแบบใหม่ (knock control) ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด ทำให้สามารถใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน (เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB) ส่งผลให้สามารถปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ และนี่คือหัวใจสำคัญของ สมรรถนะ Ferrari F80 ที่เหนือกว่าใคร
แต่ความอัศจรรย์ของ F80 ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เครื่องยนต์สันดาปภายในเท่านั้น มันยังนำเอา เทคโนโลยีไฮบริด Ferrari จาก Formula 1 มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงระบบ MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic) ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งใช้อยู่ในรถแข่ง Formula 1 ของ Ferrari และระบบ MGU-Hs (Motor Generator Unit – Heat) ซึ่งสร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์อันเกิดจากพลังงานความร้อนของก๊าซไอเสีย ร่วมด้วยชุดเทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo) ที่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามากำหนดจังหวะการทำงานของ e-turbo ช่วยปรับอากาศเข้าได้อย่างลงตัวที่สุด ทำให้ไม่มีอาการ Turbo Lag ที่รอบต่ำ อย่างที่มักเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์เทอร์โบทั่วไป ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น นี่คือ นวัตกรรมยานยนต์ Ferrari ที่แท้จริง
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงาน Ferrari ในมาราเนลโลทั้งสิ้น ด้วยเป้าหมายสูงสุดคือการเพิ่มสมรรถนะให้ถึงขีดสุดและลดน้ำหนักลง การออกแบบของมอเตอร์ทั้งหมด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลังของรถ) ถูกร่างขึ้นจากประสบการณ์ตรงของ Ferrari ในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสเตเตอร์และโรเตอร์ในแม่เหล็ก Halbach (ซึ่งใช้รูปแบบที่เฉพาะเจาะจงในการจัดวางแม่เหล็กให้สร้างสนามแม่เหล็กได้แรงขึ้น) รวมทั้งปลอกแม่เหล็กที่ทำจาก วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ Ferrari ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการออกแบบชุด MGU-K ของรถแข่ง Formula 1 มอเตอร์ไฟฟ้าเหล่านี้ช่วยเพิ่มพละกำลังได้อีก 300 แรงม้า เมื่อรวมพละกำลังทั้งจากเครื่องยนต์ V6 และมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสาม จึงสามารถผลิตพละกำลังรวมสูงสุดที่ 1,200 แรงม้า ทำให้ F80 มี ความเร็วสูงสุด Ferrari ที่ 350 กม./ชม. และ อัตราเร่ง Ferrari F80 ที่เหลือเชื่อ: 0-100 กม./ชม. ใน 2.15 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 5.75 วินาที
เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง ซึ่งส่งผลดีต่อการควบคุมและเสถียรภาพ เครื่องยนต์ V6 ถูกติดตั้งให้ใกล้กับใต้ท้องรถที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อยกชุดเกียร์ขึ้น ไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุดแอโรไดนามิกใต้ท้องรถ นอกจากนี้ ช่วงล่างรถแข่ง Formula 1 ของ F80 ยังได้รับการเสริมด้วยสปริง 2 ชุด ซึ่งช่วยลดความแข็งของระบบโดยรวมและช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมาจากระบบส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แดมเปอร์กันสะบัดถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเครื่องยนต์นี้ เพื่อลดความสั่นสะเทือนจากการบิดตัวของระบบขับเคลื่อนและโหลดที่สูงขึ้นจากพละกำลังที่มากกว่าเดิม ด้วย ระบบขับเคลื่อน 4WD ซูเปอร์คาร์ F80 จึงสามารถถ่ายทอดพละกำลังมหาศาลลงสู่พื้นถนนได้อย่างสมบูรณ์แบบ มั่นคง และตอบสนองทุกการควบคุมได้อย่างแม่นยำ
ข้อมูลทางเทคนิค FERRARI F80: สถิติที่น่าทึ่งในทุกมิติ
เครื่องยนต์:
V6 ทำมุม 120 องศา Dry Sump
ความจุกระบอกสูบ: 2,992 ซีซี
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 9,000 รอบ/นาที (จำกัดการทำงานสูงสุดที่ 9,200 รอบ/นาที)
ระบบขับเคลื่อนไฮบริด:
สเตเตอร์แบบ Concentrated Winding, สายไฟแบบ Litz
สเตเตอร์และโรเตอร์ติดตั้งในชุดแม่เหล็ก Halbach Array
ระบบส่งกำลังและเกียร์:
8 จังหวะ คลัตช์คู่ F1 DCT
สมรรถนะ:
ความเร็วสูงสุด: 350 กม./ชม.
0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที
0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลัง (MGU-K):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด: การกู้คืนขณะเบรก: 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า); ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์: 60 กิโลวัตต์ (81 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด (มอเตอร์): 45 นิวตันเมตร
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 8.8 กก.
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า:
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (ของมอเตอร์แต่ละตัว): 105 กิโลวัตต์ (142 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: 121 Nm
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 12.9 กก.
แบตเตอรี่แรงดันสูง:
แรงดันสูงสุด: 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (charge/discharge): 242 กิโลวัตต์
พลังงานไฟฟ้า: 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ค่ากระแสที่กำลังไฟสูงสุด: 350 แอมป์
การให้พลังไฟฟ้า: 6.16 กิโลวัตต์/กก.
น้ำหนัก: 39.3 กก.
มิติและน้ำหนัก:
ความยาว: 4,840 มม.
ความกว้าง: 2,060 มม.
ความสูง (ในสภาพน้ำหนักรถพร้อมวิ่งได้): 1,138 มม.
ความยาวฐานล้อ: 2,665 มม.
ความกว้างฐานล้อหน้า: 1,701 มม.
ความกว้างฐานล้อหลัง: 1,660 มม.
น้ำหนักรถเปล่า: 1,525 กก.
น้ำหนักรถเปล่า/กำลัง: 1.27 กก./แรงม้า
ความจุถังน้ำมัน: 63.5 ลิตร
ความจุห้องเก็บสัมภาระ: 35 ลิตร
ล้อ:
ล้อหน้า: 285/30 R20
ล้อหลัง: 345/30 R21
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ Ferrari F80 รีวิว ฉบับนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เผยให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดของวิศวกรรม
บทสรุป: ก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของม้าลำพอง
Ferrari F80 ไม่ใช่แค่ซูเปอร์คาร์ แต่คือปฐมบทแห่งดีไซน์ยุคใหม่ของ Ferrari ที่ผสานความเร้าอารมณ์สุดขีดเข้ากับนวัตกรรมล้ำสมัยได้อย่างลงตัว มันสะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ด้วยการนำดีไซน์จากยานอวกาศมาใช้ เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยีสุดไฮเทคและเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า ขณะเดียวกันก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานไว้ในสายเลือดเช่นเดิม F80 คือการประกาศทิศทางในอนาคตของมาราเนลโล ที่มุ่งมั่นจะนำพละกำลังจากสนามแข่งมาสู่ถนนหลวงอย่างเต็มรูปแบบ โดยไม่ทิ้งซึ่งเอกลักษณ์และความสง่างามอันเป็นหัวใจของแบรนด์
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความเร็วและ Ferrari รุ่นพิเศษ นี่คือการนิยามใหม่ของ Road Car ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ F80 จึงไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความหลงใหลในการขับขี่ และมรดกอันยิ่งใหญ่ของ Ferrari ที่จะคงอยู่ตลอดไป Ferrari F80 ไทย คือหนึ่งในสี่คันที่จะได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ระดับโลกนี้ ซึ่งจะเป็นที่หมายปองของนักสะสมและผู้ที่รักในความเร็วไปอีกนานแสนนาน

