เมื่อถามคุณ Shane ว่า McLaren 750S รุ่นใหม่นั้นมีเอกลักษณ์และแตกต่างอย่างไร?
คุณShane เล่าว่า “McLaren 750S มาพร้อมกับเทคโนโลยีนวัตกรรมหลายอย่าง
อย่างแรกเลยคือระบบช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า Proactive Chassis Control ถูกปรับปรุงและพัฒนาเป็นครั้งที่ 3 ในรุ่น 750S ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของระบบช่วงล่างที่แตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น เพราะไม่มีการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่เชื่อมโยงด้านข้างของระบบกันสะเทือนช่วงล่าง แต่มันถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านวงจรไฮดรอลิค
และมันช่วยให้คุณตั้งค่าการขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ช่วยให้คุณเปลี่ยนโหมด Comfort, Sport และ Track ได้อย่างราบรื่น และที่มากกว่านั้นทำให้เปลี่ยนแดมเปอร์ได้อย่างอิสระ มีการถ่ายปริมาณของของเหลวไหลข้ามไปมา เป็นระบบที่ซับซ้อนมากและส่งผลต่อลักษณะของโหมดการขับขี่อย่างมีนัยยะสำคัญ
นอกจากนี้ยังมีการออกแบบหลักอากาศพลศาสตร์ในรุ่น 750S ได้น่าประทับใจอย่างมาก ถือเป็นอีกครั้งที่สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อการควบคุมพวงมาลัย จากที่เราได้เห็นโมเดล 750S ไปเมื่อวานนี้ เราเชื่อว่า Wing หลังถูกซ่อน มันจะขยับขึ้นลงเพื่อให้สอดประสานไปกับตัวรถ ช่วยในเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์อย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อการทำความเร็ว แต่ Wing หลังจะขยับและสามารถกางขึ้นตั้งตรงเป็นแนวชันเพื่อกลายร่างเป็นเบรกอากาศ( Air Brake )ได้เช่นกัน ดังนั้นรุ่น 750S จึงมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากๆ ซึ่ง McLaren 750S ที่นำมาแสดงให้เห็นในงาน คือโมเดลจริงในการผลิตซีรีส์แรกที่จะถูกสร้างขึ้นในเดือนตุลาคมสำหรับการส่งมอบในช่วงปลายปีนี้”

คุณสมบัติเทคนิคต่าง ๆ ระหว่าง McLaren 720S และ McLaren 750S นั้นแตกต่างอย่างไร?
คุณ Shane เล่าว่า ถ้าเราพูดถึงระบบชุดช่วงล่าง “Proactive Chassis Control” ในรถรุ่น 750S ถูกใช้เป็นรุ่นที่สามแบบเดียวกับรุ่น 720S ซึ่งได้มีการพัฒนาต่อยอดไปอีกขั้น ปรับปรุงในหลายด้าน เช่น การปรับแต่งสปริงที่แตกต่างกันในรุ่น 750S มีความนุ่มนวลที่สปริงหน้าและสปริงหลังมีความแข็งแกร่งขึ้น เราปรับเปลี่ยนแดมเปอร์และวาล์วด้านใน เราเปลี่ยน Accumulator ทุกๆพื้นที่ที่ระบบมีการทำงานร่วมกันถูกอัพเกรดให้ดียิ่งขึ้นและนั่นคือแนวคิดทั้งหมดที่ถูกพัฒนาเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ระบบส่งกำลังก็เช่นกัน มีการเปลี่ยนแปลงหลายร้อยรายการ ทำให้รุ่น 750S นั้นแตกต่างจากรุ่น 720S ถึง 30% ในเรื่องของชุดส่วนประกอบเหล่านั้น
เมื่อเราเดินทางมาถึงยุคของรถไฟฟ้ากำลังเข้ามามีบทบาทก็อดที่จะถามไม่ได้ว่าในอนาคต McLaren จะขยายไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือไม่
คุณ Charlotte ได้บอกเราว่า “Michael Leiters“(CEO ของ McLaren) ได้แสดงความชัดเจนไว้ว่าเขาพร้อมที่จะพิจารณาผลิตภัณฑ์ใดก็ตามสำหรับ McLaren แต่จะต้องคงไว้ซึ่ง DNA ของ McLaren นั่นก็คือรถซูเปอร์คาร์ที่มีน้ำหนักเบา พร้อมอัตราเร่ง และมอบประสบการณ์ในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม
หากมองภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน เทคโนโลยีอาจยังไม่ครอบคลุมที่จะผสานเข้ากับซูเปอร์คาร์ได้อย่างลงตัว หากจะมองเรื่องของอนาคต ถ้าถามว่า McLaren จะก้าวไปสู่การเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% และยังคงให้คุณสัมผัสได้ถึง DNA ของเรานั้น เราคิดว่าในอนาคตอาจมีให้เห็นอย่างแน่นอน แต่อาจจะยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ในระยะสั้น แต่ถ้ามองภาพรวมของตลาดซูเปอร์คาร์ เราเชื่อว่าทุกคนกำลังขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลง อย่าง Rolls-Royce และ Bentley เองก็มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ความแตกต่างของรถเหล่านี้คือ ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ แต่พวกเขาจะมอบการขับขี่ที่สะดวกสบายและผ่อนคลาย
คุณ Shane กล่าวว่า คุณสมบัติบางสิ่งบางอย่างอาจลงตัวและทำได้ดีกว่าเมื่ออยู่กับแบรนด์อื่น ซึ่ง Rolls-Royce และ Bentley ก็เป็นเช่นนั้น การที่คุณได้ขับเลาะเลียบไปตามชายฝั่งด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบมันดีมาก ในขณะที่สำหรับเรา ความคิดเห็นที่เราได้รับจากลูกค้าของเรา คือกระบวนการเผาไหม้ของระบบเครื่องยนต์สันดาปมีความสำคัญต่อผู้ขับขี่อย่างมาก ดังนั้นมันจึงเป็นความท้าทายในการพัฒนา McLaren ให้ดียิ่งขึ้นต่อสภาพแวดล้อม เมื่อไรก็ตามที่เทคโนโลยีถูกพัฒนามาถึงจุดที่ผสานเข้ากันได้อย่างลงตัวกับความต้องการของลูกค้า เราอาจจะได้เห็น McLaren EV ในอนาคตอย่างแน่นอน”



